แนวคำพิพากษาคดีบัญชีเดินสะพัด ค้ำประกัน จำนอง กรณีการคิดดอกเบี้ย

วันที่เผยแพร่
07/07/2565
  • ๑. โจทก์บรรยายฟ้องถึงสัญญาและประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยและประกาศของโจทก์ที่ให้อำนาจโจทก์ในการคิดดอกเบี้ยโดยแนบสำเนาเอกสารดังกล่าวมาท้ายฟ้องและถือเป็นส่วนหนึ่งของคำฟ้อง จำเลยมิได้ให้การต่อสู้ว่าโจทก์ไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยในอัตราตามฟ้อง แม้ในชั้นพิจารณาโจทก์มิได้อ้างส่งประกาศดังกล่าวเป็นพยานเอกสาร ศาลก็ฟังข้อเท็จจริงได้ว่าโจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยได้ในอัตราตามฟ้องซึ่งเกินกว่าร้อยละ ๗.๕ ต่อปี (ฎีกา ๒๔๘๕/๒๕๕๖)
  • ๒. การคิดดอกเบี้ยทบต้นคิดได้เพียงถึงวันที่สัญญาบัญชีเดินสะพัดเลิกกัน หลังจากวันดังกล่าว โจทก์ไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้นอีก ต้องกำหนดให้จำเลยรับผิดชำระหนี้จำนวนเงินตามที่การ์ดบัญชีระบุเป็นยอดหนี้ ณ วันที่สัญญาบัญชีเดินสะพัดเลิกกัน พร้อมดอกเบี้ยแบบไม่ทบต้น (ฎ.๘๐๑/๒๕๓๖, ฎ.๔๒๒๑/๒๕๖๔)
  • ๓. บทบัญญัติของกฎหมายเรื่องการเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราหรือการคิดดอกเบี้ยทบต้นเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน คู่กรณีจะทำความตกลงยกเว้นไม่ได้ สัญญาเบิกเงินเกินบัญชีข้อหนึ่งมีข้อความว่า “ลูกค้าขอให้สัญญาว่าเมื่อมีการหักทอนบัญชีเดินสะพัดและธนาคารได้ เรียกร้องให้ลูกค้าชำระหนี้แล้ว ลูกค้าก็ยังคงยอมรับชำระดอกเบี้ย ทบต้นตาม จำนวนที่ปรากฏในบัญชีเดินสะพัดจนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่ธนาคาร... และขอสละสิทธิที่จะยกข้อต่อสู้ในเรื่องการคิดดอกเบี้ย ทบต้นนับแต่วันผิดนัดขึ้นเป็นข้อต่อสู้ธนาคารด้วย” เป็นข้อสัญญาที่ตกลงยกเว้นบทกฎหมายที่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน จึงตกเป็นโมฆะไม่มีผลใช้บังคับ ดังนั้น เมื่อหักทอนบัญชีและเลิกสัญญาบัญชีเดินสะพัดกันแล้ว หากยังมีหนี้ต่อกันธนาคารโจทก์คงมีสิทธิเรียกร้องเพียงดอกเบี้ย ธรรมดาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๒๒๔ (ฎ.๔๑๙/๒๕๓๒)
  • ๔. การปรับอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ยืมให้สูงขึ้นหลังจากผิดนัดเป็นอัตราดอกเบี้ยผิดนัดต้องมีข้อตกลงในสัญญากู้กำหนดไว้โดยชัดแจ้ง (ฎ.๙๕๑๖/๒๕๔๒, ๗๕๙๐/๒๕๔๙)
  • ๕. ขณะทำสัญญากู้ โจทก์คิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๙ ต่อปี ซึ่งเกินกว่าอัตราตามประกาศของโจทก์ ดอกเบี้ยดังกล่าวจึงตกเป็นโมฆะ แต่เมื่อเป็นหนี้เงิน จำเลยจึงต้องรับผิดชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันผิดนัดตาม ป.พ.พ.มาตรา ๒๒๔ วรรคหนึ่ง (ฎ.๔๗๐/๒๕๔๘)
  • ๖. เมื่อข้อตกลงเรื่องดอกเบี้ยตกเป็นโมฆะ การที่โจทก์นำเงินที่จำเลยชำระไปหักชำระดอกเบี้ยเป็นการกระทำไปฝ่ายเดียว ถือไม่ได้ว่าจำเลยกระทำการอันใดตามอำเภอใจเสมือนหนึ่งว่าเพื่อชำระหนี้โดยรู้อยู่ว่าตนไม่มีความผูกพันที่จะต้องชำระ หรือเป็นการชำระหนี้โดยฝ่าฝืนข้อห้ามตามกฎหมาย จึงต้องนำเงินดังกล่าวไปหักออกจากต้นเงินที่ค้างชำระ กรณีดังกล่าวถือเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้จำเลยมิได้ให้การต่อสู้ไว้ ศาลฎีกาก็หยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้ (ฎ.๑๑๕๑/๒๕๕๒, ๗๕๙๐/๒๕๔๙)
  • ๗. กรณีสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีให้สิทธิโจทก์คิดดอกเบี้ยที่ปรับเปลี่ยนขึ้นลงได้ เมื่อสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีสิ้นสุดลงแล้ว โจทก์ก็ยังมีสิทธิคิดดอกเบี้ยในอัตราตามที่กำหนดไว้ในสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีอันเป็นสิทธิตามสัญญาที่โจทก์พึงได้โดยชอบมาแต่เดิม และข้อตกลงดังกล่าวไม่ใช่เบี้ยปรับ (ฎ.๑๕๑๑๔/๒๕๕๑)
  • ๘. การกำหนดอัตราดอกเบี้ยผิดนัดหลังฟ้อง ในกรณีที่ศาลล่างกำหนดอัตราดอกเบี้ยผิดนัดคงที่ตลอดไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ตามแนวแผนกให้ปรับอัตราดอกเบี้ยผิดนัดหลังวันฟ้องเป็นอัตราลอยตัวโดยใช้คำว่า “ดอกเบี้ยที่ปรับเปลี่ยนขึ้นลงตามประกาศของโจทก์” และถือเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ไม่มีคู่ความฎีกา ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขได้ (ฎ.๑๕๑๑๔/๒๕๕๑, ฎ. ๔๔๖๖/๒๕๕๓, ฎ.๖๔๗๓/๒๕๕๓ และแนวแผนก)
  • ๙. การกำหนดอัตราดอกเบี้ยผิดนัดหลังฟ้อง กรณีโจทก์เป็นผู้รับซื้อรับโอนหนี้จากสถาบันการเงินเจ้าหนี้เดิมต้องพิพากษาโดยระบุสิทธิในการคิดดอกเบี้ยของโจทก์ให้ชัดเจน
  • ๑๐. กรณีเจ้าหนี้เดิมโอนสิทธิเรียกร้องให้ธนาคารหรือสถาบันการเงิน ธนาคารฟ้องคดีแล้วต่อมาโอนสิทธิเรียกร้องต่ออีกสองทอดให้ บบส. ที่ยังประกอบกิจการอยู่ ใช้ข้อความว่า “เมื่อธนาคาร (เจ้าหนี้เดิม) ได้โอนกิจการแก่โจทก์ ย่อมมีผลให้สิทธิเรียกร้องคดีนี้อันเป็นสินทรัพย์ของ (เจ้าหนี้เดิม) โอนไปยังโจทก์ โดยไม่ปรากฏว่าจำเลยกับโจทก์ตกลงในเรื่องดอกเบี้ยกันใหม่ให้ใช้อัตราดอกเบี้ยตามประกาศของโจทก์ ในเบื้องต้นโจทก์จึงมีสิทธิเรียกดอกเบี้ยได้ตามสัญญาเดิมที่ถือตามประกาศของ (เจ้าหนี้เดิม) แต่เมื่อโจทก์เป็นธนาคารพาณิชย์ โจทก์ย่อมเรียกดอกเบี้ยไม่เกินอัตราตามประกาศของโจทก์ ซึ่งปรากฏว่าประกาศของโจทก์กำหนดอัตราดอกเบี้ยต่ำลง โจทก์จึงขอเรียกดอกเบี้ยได้เท่ากับอัตราตามประกาศของโจทก์ อย่างไรก็ตาม เมื่อในที่สุดได้มีการดอนหนี้รายนี้แก่บริษัทบริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด และบริษัทดังกล่าวได้เข้าสวมสิทธิเป็นคู่ความแทนโจทก์แล้ว สิทธิในการคิดดอกเบี้ยของ บบส.สุขุมวิท นับแต่มีการโอนหนี้ย่อมต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดตาม พ.ร.ก.บริษัทบริหารสินทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง โดยบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทยก็ต้องรับโอนสิทธิเรียกร้องมาภายใต้เงื่อนไขดังกล่าวด้วย (ฎ.๓๙๒/๒๕๕๐, ฎีกา ๕๑๖๙/๒๕๕๖)
  • ๑๑. กรณีเจ้าหนี้เดิมโอนสิทธิเรียกร้องให้ บบส. ทอดเดียว ใช้ข้อความว่า “เมื่อ (เจ้าหนี้เดิม) ได้โอนหนี้รายนี้ให้แก่โจทก์ สิทธิในการคิดดอกเบี้ยของโจทก์ย่อมต้องเป็นไปตามหลักเกณฑี่ธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศกำหนดตาม พ.ร.ก.บริษัทบริหารสินทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง” (ฎ.๔๘๙๐/๒๕๕๕, ๒๐๒๒๕/๒๕๕๕)
  • ๑๒. ศาลชั้นต้นวินิจฉัยให้โจทก์รับผิดดอกเบี้ยเต็มตามฟ้องแต่พิพากษาระบุวันเดือนปีที่เริ่มคิดดอกเบี้ยผิดพลาดไปจากข้อวินิจฉัย การที่โจทก์ยื่นคำร้องขอแก้ไขวันเดือนปีที่คิดดอกเบี้ยให้ถูกต้อง เป็นกรณีขอแก้ไขข้อผิดหลงเล็กน้อยตาม ป.วิ.พ.มาตรา ๑๔๓ วรรคหนึ่ง มิใช่การโต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้น ชอบที่ศาลชั้นต้นจะแก้ไขได้ (ฎ.๑๕๒๔/๒๕๔๘)


     
  • ภาพประกอบจาก
  • https://www.coolontop.com/
  • https://www.thairath.co.th/news/business/1706070

เผยแพร่โดย

แผนกคดีพาณิชย์และเศรษฐกิจ

เข้าดู
แชร์บทความนี้

บทความสาระความรู้ล่าสุด
การฟ้องเรียกค่าเสียหายคดีรถชนที่มีการฟ้องผู้กระทำความผิดเป็นคดีอาญาด้วย

ในคดีละเมิดอำนาจศาล ศาลชั้นต้นลงโทษผู้ถูกกล่าวหาฐานละเมิดอำนาจศาลให้จำคุก 6 เดือน และปรับ 500 บาท ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ผู้ถูกกล่าวหาฎีกาได้หรือไม่

กรณีที่โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ผู้กระทำละเมิด ต่อมาปรากฏข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 1 ไม่ใช่ลูกจ้างจำเลยที่ 2 แต่เป็นลูกจ้างบริษัท จ. โจทก์จึงยื่นคำร้องขอถอนฟ้องจำเลยที่ 2 แล้วขอให้ศาลหมายเรียกบริษัท จ. นายจ้างที่แท้จริง เข้ามาเป็นจำเลยร่วมในคดีได้หรือไม่

การฎีกาคำสั่งระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้นในปัญหาข้อเท็จจริง อยู่ในบังคับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 หรือไม่
การฎีกาคำสั่งระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้นในปัญหาข้อเท็จจริง อยู่ในบังคับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 หรือไม่