- ๑. จำเลยฎีกาว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะผู้มอบอำนาจไม่ใช่ผู้แทนนิติบุคคลโดยไม่ได้ให้การต่อสู้ไว้แต่แรก จึงไม่มีประเด็นที่โจทก์ต้องนำพยานมาสืบว่าผู้มอบอำนาจเป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์และได้มอบอำนาจให้ดำเนินคดีโดยชอบ (ฎ.๗๓๙๑/๒๕๔๗)
- ๒. หนังสือมอบอำนาจไม่จำต้องระบุชื่อผู้ที่จะถูกฟ้องและศาลที่จะยื่นฟ้อง (ฎ.๗๓๙๑/๒๕๔๗)
- ๓. หนังสือมอบอำนาจมีข้อความที่เป็นสาระสำคัญระบุว่า บริษัทโจทก์โดยกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนขอแต่งตั้งและมอบอำนาจให้ ถ. และหรือ ส. เป็นตัวแทนผู้รับมอบอำนาจของบริษัทในกิจการต่าง ๆ ตามที่ระบุไว้รวม ๙ ข้อ โดยในข้อ ๒ ระบุให้มีอำนาจฟ้องร้องดำเนินคดีทั้งในคดีแพ่ง คดีอาญาหรือคดีอื่นใดทุกประเภทต่อศาลที่มีเขตอำนาจได้ทุกศาลทั่วราชอาณาจักร เป็นการมอบอำนาจให้ ถ. และหรือ ส. มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์ได้หลายประการ ทั้งได้ระบุให้มีอำนาจที่จะฟ้องคดีและดำเนินคดีทุกประเภทต่อศาลทุกศาลไว้โดยชัดแจ้งโดยไม่จำกัดตัวบุคคลที่จะต้องถูกฟ้อง การมอบอำนาจดังกล่าวเป็นการมอบอำนาจทั่วไป ที่รวมถึงให้ยื่นฟ้องต่อศาลตาม ป.พ.พ. มาตรา ๘๐๑(๕) ด้วย ทั้งการมอบอำนาจให้ฟ้องคดีเช่นนี้ไม่จำต้องระบุบุคคลที่จะต้องถูกฟ้องไว้โดยเฉพาะเจาะจงว่าเป็นผู้ใด ถ. และหรือ ส. จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสามแทนโจทก์ (ฎ.๒๐๘๓/๒๕๕๔)
- ๔. สำเนาหนังสือมอบอำนาจมีเจ้าหน้าที่รับรองความถูกต้องเพราะต้นฉบับได้มีการอ้างส่งไว้ในสำนวนคดีของศาลและจำเลยมิได้คัดค้านว่าสำเนาไม่ถูกต้อง ศาลรับฟังสำเนาได้ (ฎ.๓๗๔/๒๕๓๖, ๔๔๓๔/๒๕๕๖)
- ๕. โจทก์นำส่งสำเนาหนังสือมอบอำนาจเป็นพยานเอกสารต่อศาล จำเลยไม่ได้คัดค้านหรือนำสืบโต้แย้งว่าโจทก์มิได้ส่งต้นฉบับ เท่ากับว่าคู่ความที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายตกลงว่าสำเนาเอกสารนั้นถูกต้องแล้ว ศาลรับฟังสำเนานั้นเป็นพยานหลักฐานได้ตาม ป.วิ.พ.มาตรา ๙๓ (๑) เมื่อเป็นการรับฟังสำเนาแทนต้นฉบับ จึงไม่จำเป็นต้องปิดอากรแสตมป์และสำเนาหนังสือมอบอำนาจมิใช่คู่ฉบับหรือคู่ฉีกแห่งตราสารไม่อยู่ในบังคับที่จะต้องปิดอากรแสตมป์ด้วย (ฎ.๒๒๑๖/๒๕๕๓)
- ๖. สิทธิการเป็นเจ้าหนี้ของธนาคารผู้โอนเป็นสิทธิที่อยู่ในสภาพเปิดช่องให้โอนกันได้ มิใช่สิทธิเฉพาะตัวหรือมีกฎหมายห้ามโอน การโอนสิทธิเรียกร้องย่อมสามารถกระทำได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา ๓๐๓ ทั้งการโอนสิทธิเรียกร้องมิได้มีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งตามกฎหมายตามมาตรา ๑๕๐ และไม่มีบทบัญญัติกฎหมายห้ามโอนสิทธิเรียกร้องที่เป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้หรือหนี้ด้อยคุณภาพว่าจะต้องเป็นไปแต่เฉพาะตามกฎหมายพิเศษที่ตราขึ้นไว้เพื่อแก้ไขปัญหาสินทรัพย์ด้อยคุณภาพนอกเหนือจาก ป.พ.พ. ทั้งการโอนสิทธิเรียกร้องอยู่ในวัตถุประสงค์ของธนาคารผู้รับโอน ธนาคารผู้รับโอนจึงมีอำนาจฟ้อง (ฎ.๘๐๑/๒๕๓๘, ๑๓๑๑๘/๒๕๕๓, ๖๓๓๔/๒๕๕๐, ๓๘๔๕/๒๕๕๖)
- ๗. กรณีลูกหนี้ต่อสู้ว่าโจทก์ซึ่งเป็นธนาคารฟ้องคดีเป็นการใช้สิทธิไม่สุจริตเพราะไม่ฟ้องเรียกหนี้ทันทีเมื่อผิดนัด กลับปล่อยเวลาให้ล่วงเลยมาจนยอดหนี้เพิ่มสูงเกินสมควร ให้พิจารณาจากพฤติการณ์ของแต่ละคดีประกอบกัน กรณีฟังว่าเป็นการฟ้องคดีโดยชอบ มิใช่ใช้สิทธิโดยไม่สุจริต ศาลฎีกาให้เหตุผลว่า “แม้เมื่อจำเลยผิดนัดไม่ชำระหนี้แก่โจทก์ตามสัญญาแล้ว โจทก์สามารถฟ้องเรียกหนี้ทั้งหมดคืนได้ทันทีก็ตาม ก็หาใช่เป็นการบังคับว่าเมื่อจำเลยผิดนัดแล้ว โจทก์จะต้องฟ้องเรียกหนี้จากจำเลยทันทีไม่ โจทก์อาจผ่อนผันให้โอกาสแก่จำเลยผ่อนชำระหนี้ อีกทั้งการได้ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นก็เป็นลักษณะของผลประโยชน์โดยตรงจากการประกอบธุรกิจกิจการธนาคารพาณิชย์ตามวัตถุประสงค์ของโจทก์อยู่แล้ว จำเลยเองก็มีหน้าที่ต้องดูแลรักษาผลประโยชน์ของตนเช่นกันและต้องทราบดีว่าหากไม่ชำระหนี้แก่โจทก์ย่อมต้องรับผิดชำระดอกเบี้ยแก่โจทก์เพิ่มขึ้น ถือได้ว่าจำเลยปล่อยปละละเลยไม่รักษาผลประโยชน์ของตนเอง ไม่อาจถือได้ว่าโจทก์ใช้สิทธิโดยไม่สุจริต” (ฎีกา ๘๓๖๘/๒๕๕๖)
- ๘. กรณีฟังว่าเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต ลูกหนี้กู้ยืมเงินโดยจำนำเงินฝากเป็นประกัน แล้วธนาคารไม่หักเงินฝากดังกล่าวชำระหนี้ในเวลาที่อาจหักได้ ศาลฎีกาให้เหตุผลว่า “ในวันที่หักทอนบัญชีตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีหากโจทก์ใช้สิทธิบังคับจำนำโดยการถอนเงินทั้งต้นเงินและดอกเบี้ยจากบัญชีฝากประจำของจำเลยมาหักชำระหนี้ในวันนั้นทันทีก็สามารถชำระหนี้ของจำเลยได้เป็นจำนวนมาก ย่อมเป็นประโยชน์แก่โจทก์ในการที่จะได้รับชำระหนี้และเป็นประโยชน์แก่จำเลยที่จะไม่ต้องรับผิดดอกเบี้ยในต้นเงินที่มีการหักชำระนั้นอีกต่อไป แต่โจทก์มิได้กระทำโดยที่ไม่ปรากฏว่ามีเหตุขัดข้องที่ทำให้โจทก์ไม่สามารถถอนเงินมาชำระในทันทีได้ เป็นการกระทำที่แสดงให้เห็นว่าโจทก์อาศัยสิทธิที่มีอยู่ตามกฎหมายเป็นช่องทางให้โจทก์ได้รับประโยชน์แต่ฝ่ายเดียวโดยไม่คำนึงถึงความเสียหายที่จำเลยจะได้รับ เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตตาม ป.พ.พ.มาตรา ๕ (ฎ. ๑๘๔๕๔/๒๕๕๕)
- ๙. ผู้กู้เปิดบัญชีกระแสรายวันแล้วทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีหลายฉบับ โดยมีผู้ค้ำประกันหลายคนเข้าค้ำประกันสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีต่างฉบับกัน ผู้กู้นำเงินเข้าฝากและสั่งจ่ายเงินตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีหลายฉบับจากบัญชีกระแสรายวันบัญชีเดียวโดยไม่อาจแบ่งแยกได้ว่าหนี้จำนวนใดเป็นหนี้ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีฉบับใดจึงเป็นมูลหนี้เดียวกันที่โจทก์สามารถฟ้องผู้กู้และผู้ค้ำประกันหลายคนรวมกันมาในคดีเดียวกันได้ (ฎ.๙๕๒/๒๕๔๓, ฎ.๕๑๓๕/๒๕๔๘)
- ภาพประกอบจาก
- https://www.matichon.co.th/article/news_1158866
แนวคำพิพากษาคดีบัญชีเดินสะพัด ค้ำประกัน จำนอง กรณีอำนาจฟ้องและการรับฟังพยานหลักฐาน
บทความโดย
วันที่เผยแพร่
07/07/2565

บทความสาระความรู้ล่าสุด
การฟ้องเรียกค่าเสียหายคดีรถชนที่มีการฟ้องผู้กระทำความผิดเป็นคดีอาญาด้วย
18/08/2568
ในคดีละเมิดอำนาจศาล ศาลชั้นต้นลงโทษผู้ถูกกล่าวหาฐานละเมิดอำนาจศาลให้จำคุก 6 เดือน และปรับ 500 บาท ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ผู้ถูกกล่าวหาฎีกาได้หรือไม่
18/08/2568
กรณีที่โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ผู้กระทำละเมิด ต่อมาปรากฏข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 1 ไม่ใช่ลูกจ้างจำเลยที่ 2 แต่เป็นลูกจ้างบริษัท จ. โจทก์จึงยื่นคำร้องขอถอนฟ้องจำเลยที่ 2 แล้วขอให้ศาลหมายเรียกบริษัท จ. นายจ้างที่แท้จริง เข้ามาเป็นจำเลยร่วมในคดีได้หรือไม่
23/07/2568
การฎีกาคำสั่งระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้นในปัญหาข้อเท็จจริง อยู่ในบังคับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 หรือไม่
13/06/2568
การฎีกาคำสั่งระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้นในปัญหาข้อเท็จจริง อยู่ในบังคับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 หรือไม่
29/05/2568