ฎีกาน่าสนใจ : คดีล้มละลาย
วรนันยา ใช้เทียมวงษ์
ผู้พิพากษาศาลชั้นต้นประจำกองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9957/2560
ข้อเท็จจริงฟังยุติว่าเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2555 ลูกหนี้ที่ 1 ซึ่งเป็นบริษัทจำกัด กู้ยืมเงินจากผู้คัดค้านที่ 2 เป็นเงิน 1,000,000 บาท โดยจดทะเบียนจำนองที่ดินจำนวน 3 แปลง เป็นประกันการชำระหนี้ แต่ลูกหนี้ที่ 1 ผิดนัดไม่ชำระหนี้ วันที่ 18 กรกฎาคม 2555 ผู้คัดค้านที่ 2 ฟ้องลูกหนี้ที่ 1 ต่อศาลแพ่งธนบุรี วันที่ 1 สิงหาคม 2555 ลูกหนี้ที่ 1 และผู้คัดค้านที่ 2 ทำสัญญาประนีประนอมยอมความ โดยลูกหนี้ที่ 1 ตกลงไถ่ถอนจำนองและชำระเงินจำนวน 1,000,000 บาทให้แก่ผู้คัดค้านที่ 2 ภายใน 10 วัน หากผิดนัด ลูกหนี้ที่ 1 ยอมโอนที่ดินดังกล่าวเพื่อตีชำระหนี้ในราคา 1,000,000 บาท โดยให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนา ซึ่งศาลแพ่งธนบุรีมีคำพิพากษาตามยอม แต่ลูกหนี้ที่ 1 ไม่ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาตามยอมดังกล่าว ต่อมาวันที่ 9 ตุลาคม 2555 ผู้คัดค้านที่ 2 ถือเอาคำพิพากษาตามยอมของศาลแพ่งธนบุรีไปดำเนินการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินดังกล่าวให้แก่ผู้คัดค้านที่ 2 แทนการแสดงเจตนาของลูกหนี้ที่ 1
ศาลฎีกาแผนกคดีล้มละลายเห็นว่า การที่ลูกหนี้ที่ 1 โดยลูกหนี้ที่ 3 จดทะเบียนจำนองที่ดิน ซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของลูกหนี้ที่ 1 ให้แก่ผู้คัดค้านที่ 2 ซึ่งเป็นพี่สาวของลูกหนี้ที่ 3 เพื่อเป็นประกันการชำระหนี้เงินกู้จำนวน 1,000,000 บาท ที่ลูกหนี้ที่ 1 มีต่อผู้คัดค้านที่ 2 เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2555 อันเป็นระยะเวลา 1 ปี ก่อนมีการฟ้องขอให้ลูกหนี้ที่ 1 ล้มละลาย วันที่ 17 สิงหาคม 2555 เมื่อผู้คัดค้านที่ 2 เป็นพี่สาวของลูกหนี้ที่ 3 ผู้คัดค้านที่ 2 และลูกหนี้ที่ 3 จึงเป็นญาติสนิทใกล้ชิดกัน ผู้คัดค้านที่ 2 ย่อมอยู่ในฐานะที่สามารถล่วงรู้สภาพทรัพย์สินและหนี้สินของลูกหนี้ที่ 1 ก่อนให้กู้ยืมเงินได้ ประกอบกับการกู้ยืมเงินดังกล่าว เป็นการกู้ยืมเงินจำนวนมากถึง 1,000,000 บาท แต่ลูกหนี้ที่ 1 และผู้คัดค้านที่ 2 กำหนดเวลาชำระหนี้ไว้เพียง 4 เดือน เท่านั้น ทั้งผู้คัดค้านที่ 2 ได้ส่งมอบเงินกู้ให้แก่ลูกหนี้ที่ 1 เมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2555 เป็นเงิน 500,000 บาท และวันที่ 13 มีนาคม 2555 เป็นเงิน 500,000 บาท ตามลำดับ อันเป็นเวลาภายหลังจากลูกหนี้ที่ 1 ได้จดทะเบียนจำนองที่ดินทั้ง 3 แปลง ให้แก่ผู้คัดค้านที่ 2 แล้ว นอกจากนี้ การกู้ยืมเงินดังกล่าวยังจัดทำในรูปของสัญญาจำนองเพื่อให้เป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมเงิน ลงลายมือชื่อ โดยนาย น. ซึ่งเป็นผู้รับมอบอำนาจทั้งของฝ่ายลูกหนี้ที่ 1 และผู้คัดค้านที่ 2 อันเป็นการผิดปกติวิสัยของการกู้ยืมเงินจำนวนมาก นอกจากนี้ เมื่อลูกหนี้ที่ 1 ผิดนัดไม่ชำระหนี้ วันที่ 18 กรกฎาคม 2555 ผู้คัดค้านที่ 2 ได้ยื่นฟ้องลูกหนี้ที่ 1 ต่อศาลแพงธนบุรี ซึ่งศาลนัดไกล่เกลี่ยและสืบพยานผู้ร้อง ในวันที่ 17 กันยายน 2555 ต่อมาวันที่ 21 กรกฎาคม 2555 เจ้าหน้าที่ศาลนำหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องไปส่งให้แก่ลูกหนี้ที่ 1 ณ ภูมิลำเนา ซึ่งไม่สามารถส่งได้ แต่ปรากฎว่าในวันที่ 1 สิงหาคม 2555 ซึ่งเป็นเวลาภายหลังจากที่ผู้คัดค้านที่ 2 ได้ยื่นฟ้องลูกหนี้ที่ 1 เป็นคดีแพ่งต่อศาลแพ่งธนบุรีเพียง 13 วัน และก่อนที่ลูกหนี้ที่ 1 และที่ 3 จะถูกผู้ร้องฟ้องขอให้ล้มละลายเป็นคดีนี้เพียง 16 วัน ลูกหนี้ที่ 1 และผู้คัดค้านที่ 2 กลับตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความต่อกัน โดยลูกหนี้ที่ 1 ตกลงไถ่ถอนจำนองและชำระเงินจำนวน 1,000,000 บาท ให้แก่ผู้คัดค้านที่ 2 ภายใน 10 วัน หากผิดนัดลูกหนี้ที่ 1 ยอมโอนที่ดินดังกล่าว เพื่อตีชำระหนี้ในราคา 1,000,000 บาท โดยให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนา พฤติการณ์ของลูกหนี้ที 1 โดยลูกหนี้ที่ 3 และผู้คัดค้านที่ 2 ดังกล่าวมาไม่ว่าจะเป็นการทำสัญญากู้ยืมเงิน การจำนอง การฟ้องคดี การทำสัญญาประนีประนอมยอมความและการขอให้ศาลมีคำพิพากษาตามยอมล้วนมีลักษณะผิดปกติวิสัยเร่งรีบให้เสร็จสิ้นก่อนที่ลูกหนี้ที่ 1 และที่ 3 จะถูกฟ้องขอให้ล้มละลายเป็นคดีนี้ เพื่อให้ผู้คัดค้านที่ 2 มีบุริมสิทธิและกรรมสิทธิ์เหนือทรัพย์จำนองดังกล่าว อันเป็นการยักย้ายถ่ายเททรัพย์สินเพื่อหลีกเลี่ยงการบังคับคดี กรณีมีเหตุผลเชื่อได้ว่า ในขณะที่ผู้คัดค้านที่ 2 รับจำนองที่ดินจากลูกหนี้ที่ 1 นั้น ผู้คัดค้านที่ 2 ทราบถึงภาวะการมีหนี้สินล้นพันตัวของลูกหนี้ที่ 1 อันเป็นการรับจำนองโดยรู้อยู่ว่าจะเป็นทางให้เจ้าหนี้ของลูกหนี้ที่ 1 ต้องเสียเปรียบ กรณีมีมูลที่ศาลจะสั่งให้เพิกถอนการจดทะเบียนจำนองที่ดินทั้ง 3 แปลง ระหว่างลูกหนี้ที่ 1 กับผู้คัดค้านที่ 2 ได้ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 113 ส่วนที่ผู้คัดค้านที่ 2 ถือเอาคำพิพากษาตามยอมของศาลแพ่งธนบุรีไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้แก่ผู้คัดค้านที่ 2 แทนการแสดงเจตนาของลูกหนี้ที่ 1 เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2555 นั้น เมื่อการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินดังกล่าวทำขึ้น ภายหลังจากที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้ที่ 1 ชั่วคราว เมื่อวันที่ 14 กันยายน 2555 จึงเป็นการผ่าฝืนต่อพระราชบัญญัติลัมละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 22 (1) และมาตรา 24 ย่อมตกเป็นโมฆะ ตามประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย์ มาตรา 150 ศาลย่อมมีอำนาจสั่งให้เพิกถอนการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทดังกล่าวได้
หมายเหตุ
คดีนี้ศาลฎีกาได้วินิจฉัยไว้ 2 ประเด็น กล่าวคือ
ประเด็นที่ 1 การเพิกถอนการฉ้อฉล (Fraudulent Tansfer) พฤติการณ์ที่ถือว่าเป็นทางให้เจ้าหนี้เสียเปรียบในเรื่องนี้ ตาม Section 548 of the U.S. Bankruptcy Code ศาล ในคดี Fox Rest Assoc,L.P.v. Little, 717 S.E.2d 126, 131 (Va.2011) กล่าวว่าข้อเท็จจริงและพฤติการณ์ที่แสดงว่าลูกหนี้มีเจตนาที่จะทำให้เจ้าหนี้เสียเปรียบ "badges of fraud" ได้แก่
1. ลูกหนี้ขายทรัพย์สินในราคาต่ำกว่าราคาตลาด (fair market value)
2. ลูกหนี้โอนทรัพย์สินให้แก่บุคคลใกล้ชิด เช่น ญาติ หรือเพื่อนสนิท (an insider)
3. หลังจากโอนทรัพย์สินแล้ว ลูกหนี้กลายเป็นบุคคลที่มีหนี้สินล้นพ้นตัว (becoming insolvent after the transfer)
4. ลูกหนี้ไม่สามารถปิดเผยนิติกรรมได้ (faling to disclose a transaction)
5. เป็นการโอนทรัพย์สินที่ผิดปกติ (unusual way)
ในคดีนี้ศาลฎีกาไทยได้วินิจฉัยโดยพิจารณาข้อเท็จจริงและพฤติการณ์ที่ลูกหนี้และผู้รับจำนองมีต่อกัน กล่าวคือผู้รับจำนองเป็นญาติของกรรมการบริษัทของลูกหนี้ (an insider) การกู้ยืมเงินและการจำนองระหว่างลูกหนี้และผู้รับจำนองมีลักษณะผิดปกติวิสัย (unusual way) การฟ้องคดีและการทำสัญญาประนีประนอมยอมความมีลักษณะเร่งรีบ นอกจากนี้ ศาลฎีกาไทยยังนำบทสันนิษฐานตามมาตรา 114 ที่บัญญัติว่าถ้านิติกรรมที่ขอเพิกถอนการฉ้อฉลเกิดขึ้นภายในระยะเวลา 1 ปี ก่อนมีการขอให้ล้มละลายและภายหลังนั้น ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นการกระทำที่ลูกหนี้และผู้ที่ได้ลาภงอก แต่การนั้นรู้อยู่ว่าเป็นทางให้เจ้าหนี้ต้องเสียเปรียบ เมือการจดทะเบียนจำนองที่ดินระหว่างลูกหนี้และผู้รับจำนองกระทำขึ้นในระยะเวลา 1 ปี ก่อนมีการฟ้องขอให้ลูกหนี้ล้มละลาย จึงอยู่ภายใต้บทสันนิษฐานดังกล่าว ดังนั้น เมื่อพิเคราะห์ถึงพฤติการณ์ของลูกหนี้และผู้รับจำนองโดยตลอดแล้ว ล้วนน่าเชื่อว่าเป็นการจำนองที่ดินโดยรู้อยู่ว่าจะเป็นทางให้เจ้าหนี้ของลูกหนี้ต้องเสียเปรียบอันเป็นการฉ้อฉล ชอบที่ศาลจะมีคำสั่งให้เพิกถอนการจดทะเบียนจำนองดังกล่าวได้ คำพิพากษาของศาลฎีกาไทยฉบับนี้จึงมีหลักเกณฑ์ในการวินิจฉัยสอดคล้องกับแนวบรรทัดฐานของศาลต่างประเทศ
ประเด็นที่ 2 การถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของลูกหนี้ ในคดีนี้แม้ว่าศาลในคดีส่วนแพ่งจะมีคำพิพากษาตามยอมว่าหากผิดนัดลูกหนี้ยอมโอนที่ดิน เพื่อตีชำระหนี้ โดยให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาตามประมวลกฎหมายวิรีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 357 ก็ตาม แต่การใช้คำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของลูกหนี้ เป็นการแสดงเจตนาแทนตัวลูกหนี้ หากขณะนั้นลูกหนี้ไม่สามารถที่จะแสดงเจตนาได้แล้ว เช่น ถูกพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด ซึ่งมีผลทำให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แต่ผู้เดียวมีอำนาจในการจัดกิจการและทรัพย์สินของลูกหนี้ ดังนั้น ถึงแม้เจ้าหนี้จะเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษา ซึ่งศาลพิพากษาให้ลูกหนี้โอนทรัพย์สินให้แก่เจ้าหนี้ หากไม่ดำเนินการให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของลูกหนี้ก็ตาม เจ้าหนี้ก็ไม่สามารถนำคำพิพากษาของศาลในคดีส่วนแพ่งดังกล่าวไปดำเนินการจดทะเบียนแทนการแสดงเจตนาของลูกหนี้ได้
ภาพประกอบจาก : https://phichit.org/web/
แผนกคดีล้มละลาย
กุมภาพันธ์ 2565