การคิดเงินเพิ่มอากรตามกฎหมายศุลกากร
แต่เดิมพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. ๒๔๖๙ มาตรา ๑๑๒ จัตวา วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า
“เมื่อผู้นำของเข้าหรือผู้ส่งของออกนำเงินมาชำระค่าอากรที่ต้องเสียหรือเสียเพิ่ม ให้เรียกเก็บเงินเพิ่มในอัตราร้อยละหนึ่งต่อเดือนของค่าอากรที่นำมาชำระโดยไม่คิดทบต้นนับแต่วันที่ได้ส่งของออก จนถึงวันวันที่นำเงินมาชำระ...” ต่อมา พระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. ๒๕๖๐ ที่มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ ๑๓ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ มาตรา ๒๒ วรรคหนึ่ง บัญญัติหลักเกณฑ์ในการคำนวณเงินเพิ่มว่า “ในกรณีที่ผู้นำของเข้าหรือผู้ส่งของออกไม่เสียอากรหรือเสียอากรไม่ครบถ้วน ให้เรียกเก็บเงินเพิ่มอีกในอัตราร้อยละหนึ่งต่อเดือนของอากรที่ต้องเสียหรือเสียเพิ่มโดยไม่คิดทบต้น นับแต่วันที่นำของออกไปจากอารักขาของศุลกากรหรือส่งของออกไปนอกราชอาณาจักรจนถึงวันที่นำเงินมาชำระเศษของเดือนให้นับเป็นหนึ่งเดือน โดยเงินเพิ่มที่เรียกเก็บนี้ต้องไม่เกินอากรที่ต้องเสียหรือเสียเพิ่ม” กรณีจึงเกิดปัญหาว่า ในกรณีนำคดีมาสู่ศาลเพื่อให้ผู้นำเข้าหรือผู้ส่งออกรับผิดชำระหนี้ภาษีหลังจากพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. ๒๕๖๐ มีผลบังคับใช้แล้ว หากการนำเข้าหรือส่งออกที่มีขึ้นก่อนวันที่ ๑๓ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ จะบังคับใช้ตามกฎหมายใด เพราะการคำนวณเงินเพิ่มตามกฎหมายทั้งสองฉบับมีความแตกต่างกัน เช่น ถ้าอากรที่ต้องชำระมี ๑๐๐,๐๐๐ บาท ตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. ๒๔๖๙ จะคิดเงินเพิ่มในอัตราร้อยละ ๑ ต่อเดือนของอากรจนกว่าจะชำระเสร็จ ซึ่งเงินเพิ่มอาจจะมากกว่าอากร ๑๐๐,๐๐๐ บาท ก็เป็นได้ แต่ตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. ๒๕๖๐ จะคิดเงินเพิ่มได้ไม่เกินอากร ๑๐๐,๐๐๐ บาท
ปัญหาดังกล่าวมีคดีขึ้นสู่การพิจารณาของศาลภาษีอากรกลาง โดยศาลภาษีอากรกลาง พิพากษาให้นำพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. ๒๕๖๐ มาใช้บังคับ ดังนั้น เงินเพิ่มที่เรียกเก็บต้องไม่เกินอากรที่ต้องเสียเพิ่ม โจทก์กรมศุลกากรอุทธรณ์ให้จำเลยรับผิดชำระเงินเพิ่มตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ.๒๔๖๙ เนื่องจากเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับในขณะนำเข้า ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษพิพากษายืน โจทก์ฎีกาในปัญหาดังกล่าวโดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา ซึ่งมีคำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๕๒๓๐/๒๕๖๓ วินิจฉัยว่า
“เมื่อปรากฏว่าในขณะเกิดความรับผิดอากรขาเข้าในคดีนี้ยังอยู่ในบังคับตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. ๒๔๖๙ ซึ่งมาตรา ๑๑๒ จัตวา ไม่ได้กำหนดว่าเงินเพิ่มอากรขาเข้าต้องไม่เกินอากรขาเข้าที่ต้องเสียหรือเสียเพิ่ม จึงต้องบังคับใช้ตามบทกฎหมายดังกล่าว แต่อย่างไรก็ตามเมื่อต่อมาวันที่ ๑๓ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ พระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. ๒๕๖๐ มีผลใช้บังคับและให้ยกเลิกพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. ๒๔๖๙ โดยพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. ๒๕๖๐ มาตรา ๒๒ กำหนดให้เงินเพิ่มอากรขาเข้าต้องไม่เกินอากรขาเข้าที่ต้องเสียหรือเสียเพิ่ม ในคดีนี้โจทก์ที่ ๑ จึงมีสิทธิเรียกเงินเพิ่มอากรขาเข้าจนถึงวันที่ ๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ เว้นแต่เมื่อคำนวณเงินเพิ่มอากรขาเข้าจนถึงวันที่ ๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ แล้วเงินเพิ่มอากรขาเข้ายังไม่เท่าอากรขาเข้าตามการประเมินก็ให้คำนวณเงินเพิ่มอากรขาเข้าต่อไปจนกว่าจะเท่าจำนวนอากรขาเข้าตามการประเมิน”
ดังนั้น การนำเข้าหรือส่งออกก่อนวันที่ ๑๓ พฤศจิกายน ๒๕๖๐
๑. หากคำนวณถึงวันที่ ๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ แล้วเงินเพิ่มเกินอากรให้รับผิดเงินเพิ่มถึงวันที่ ๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ เช่น มีอากรที่ต้องชำระ ๑๐๐,๐๐๐ บาท เงินเพิ่มคำนวณถึงวันที่ ๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ มีจำนวน ๑๒๐,๐๐๐ บาท ผู้นำเข้าหรือส่งออกรับผิดเงินเพิ่มเพียง ๑๒๐,๐๐๐ บาท
๒. หากคำนวณถึงวันที่ ๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ แล้วเงินเพิ่มยังไม่เกินอากรให้รับผิดในเงินเพิ่มต่อไปจนกว่าจะเท่าอากร เช่น มีอากรที่ต้องชำระ ๑๐๐,๐๐๐ บาท เงินเพิ่มคำนวณถึงวันที่ ๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ มีจำนวน ๘๐,๐๐๐ บาท ผู้นำเข้าหรือส่งออกต้องรับผิดเงินเพิ่มจนกว่าจะชำระอากรครบถ้วน
แต่รวมแล้วเงินเพิ่มต้องไม่เกิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท
แผนกคดีภาษีอากรในศาลฎีกา
มีนาคม ๒๕๖๕