การร้องขอคืนของกลางในคดียาเสพติดที่ศาลมีคำพิพากษาให้ริบตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษฯ หรือตามประมวลกฎหมายอาญาเป็นคดีความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดตามพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ. ๒๕๕๐ หรือไม่ เนื่องจากหากถือว่ากรณีดังกล่าวเป็นคดีความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดตามความหมายแห่งพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ. ๒๕๕๐ แล้วก็ย่อมต้องอยู่ในบังคับของพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ. ๒๕๕๐ (มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑๓ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๑ เป็นต้นไป) และระเบียบที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาว่าด้วย หลักเกณฑ์ และวิธีการยื่นคำขอ การพิจารณา และมีคำสั่งอนุญาตหรือไม่อนุญาตให้ฎีกาในคดีความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. ๒๕๕๑ กำหนดว่าคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้เป็นที่สุด หากคู่ความผู้ฎีกาประสงค์จะฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ต้องยื่นคำขอโดยทำเป็นคำร้องเพื่อขออนุญาตฎีกาต่อศาลฎีกาพร้อมกับฎีกาเพื่อขอให้รับฎีกาไว้วินิจฉัย แต่หากถือว่ากรณีดังกล่าวมิใช่เป็นคดีความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดตามพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ. ๒๕๕๐ แล้ว คู่ความย่อมสามารถใช้สิทธิฎีกาคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ได้ตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายว่าด้วยอุทธรณ์ฎีกา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาซึ่งเป็นทั่วไป
กรณีดังกล่าวเคยมีคำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๔๘๘๒/๒๕๕๗ วินิจฉัยไว้เป็นบรรทัดฐานว่า “แม้คดีนี้เป็นการขอคืนรถยนต์ของกลาง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๖ แต่คำร้องของผู้ร้องเป็นผลสืบเนื่องมาจากคดีที่ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสาม และริบรถยนต์ของกลางตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ คดีนี้จึงเป็นคดีความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดอันอยู่ในบังคับของพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ. ๒๕๕๐ ด้วย ซึ่งมาตรา ๑๘ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว บัญญัติว่า “ให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งโดยมิชักช้า และภายใต้บังคับแห่งบทบัญญัติมาตรา ๑๖ และมาตรา ๑๙ คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลอุทธรณ์เฉพาะการกระทำซึ่งเป็นความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้เป็นที่สุด” และมาตรา ๑๙ วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “ในกรณีที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาหรือมีคำสั่งในคดีความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด มาตรา ๑๘ วรรคหนึ่งแล้ว คู่ความอาจยื่นคำขอโดยทำเป็นคำร้องไปพร้อมกับฎีกาต่อศาลฎีกาภายในกำหนดหนึ่งเดือนนับแต่วันอ่านหรือถือได้ว่าอ่านคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลนั้นให้คู่ความฝ่ายที่ขออนุญาตฎีกาฟัง เพื่อขอให้พิจารณารับฎีกาไว้วินิจฉัยก็ได้” เมื่อผู้ร้องฎีกาโดยไม่ได้ปฏิบัติตามมาตรา ๑๙ วรรคหนึ่ง คำพิพากษาศาลอุทธรณ์จึงเป็นที่สุดตามมาตรา ๑๘ วรรคหนึ่ง ดังนั้น กรณีการขอคืนของกลางในคดียาเสพติดที่ศาลมีคำพิพากษาให้ริบตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ ฯ หรือตามประมวลกฎหมายอาญา จึงเป็นความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดที่ต้องปฏิบัติตามพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ. ๒๕๕๐ และระเบียบที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาว่าด้วย หลักเกณฑ์ และวิธีการยื่นคำขอ การพิจารณา และมีคำสั่งอนุญาตหรือไม่อนุญาตให้ฎีกาในคดีความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. ๒๕๕๑
อย่างไรก็ดี หากการร้องขอคืนของกลางที่ศาลมีคำพิพากษาให้ริบในคดียาเสพติด แต่เป็นของกลางในความผิดอื่นที่มิใช่ความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดตามประมวลกฎหมายอาญารวมอยู่ด้วย คู่ความอาจฎีกาได้ภายใต้บทบัญญัติว่าด้วยการฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ตามพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ. ๒๕๕๐ มาตรา ๑๘ วรรคสอง
ผู้เขียน นายโชคชัย รัตกิจนากร ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลประจำกองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ผู้ตรวจ นายชาติชาย เหลืองอ่อน ผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา