ความรู้เกี่ยวกับกฎหมายเลือกตั้ง ตอนที่ ๖

วันที่เผยแพร่
29/06/2565

ความรู้เกี่ยวกับกฎหมายเลือกตั้ง  ตอนที่ ๖

“ตัวอย่างคำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้ง กรณีการเลือกตั้งมิได้เป็นไปโดยสุจริตหรือเที่ยงธรรม 

ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร  พ.ศ. ๒๕๖๑  มาตรา  ๑๓๓”

          รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย  พุทธศักราช ๒๕๖๐ กำหนดที่มาของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรออกเป็น ๒  แบบ  คือแบบแบ่งเขตเลือกตั้งและแบบบัญชีรายชื่อ ซึ่งในส่วนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขตเลือกตั้งนั้นจะมีการเลือกโดยจัดให้มีการเลือกตั้งขึ้น และเพื่อให้การจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นไปโดยสุจริตหรือเที่ยงธรรมตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ จึงได้มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. ๒๕๖๑  อันได้บัญญัติวิธีการและกำหนดมาตรการในการบังคับให้มีการเลือกตั้งให้เป็นไปโดยสุจริตหรือเที่ยงธรรมไว้ในขั้นตอนต่าง ๆ ของการเลือกตั้ง  ทั้งก่อนประกาศผลการเลือกตั้งและก่อนวันเลือกตั้ง ก่อนประกาศผลการเลือกตั้งและหลังวันเลือกตั้ง  และหลังประกาศผลการเลือกตั้ง  ซึ่งศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งได้มีคำพิพากษาเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าวมาแล้วในหลายกรณี  โดยในบทความนี้จะขอนำเสนอคำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งที่  ลต  สส ๑/๒๕๖๕  ที่ได้วินิจฉัยถึงกรณีที่หลังจากประกาศผลการเลือกตั้งแล้วปรากฏหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่าการเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งใดมิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรมแต่ไม่ได้ความชัดว่าเป็นการกระทำของผู้ได้รับเลือกตั้ง  ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร  พ.ศ. ๒๕๖๑  มาตรา  ๑๓๓  โดยมีรายละเอียดโดยย่อ  ดังนี้ 

คำพิพากษาศาลฎีกาที่  ลต  สส ๑/๒๕๖๕

          คดีนี้ ผู้ร้องยื่นคำร้องว่ามีการกระทำที่ฝ่าฝืนพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร  พ.ศ. ๒๕๖๑  มาตรา  ๗๓ (๑) ซึ่งผู้คัดค้านได้รับประโยชน์ในการเลือกตั้ง เป็นเหตุให้การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดลำปาง  เขตเลือกตั้งที่ ๔ แทนตำแหน่งที่ว่าง  ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับผู้คัดค้าน  มิได้เป็นไปโดยสุจริตหรือเที่ยงธรรม  ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร  พ.ศ. ๒๕๖๑  มาตรา  ๑๓๓ ขอให้ศาลฎีกาสั่งให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดลำปาง  เขตเลือกตั้งที่  ๔  ใหม่  แทนนาย  ว.  ผู้คัดค้าน 

          ศาลฎีกาพิจารณาแล้ว  คดีมีประเด็นต้องวินิจฉัยว่า การกระทำของนาง  ก.  เป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. ๒๕๖๑  มาตรา  ๗๓  วรรคหนึ่ง  (๑)  หรือไม่  ได้ความจากนาง ก.  นาย  ต.  และนาง  ว.  ซึ่งเบิกความต่อศาลสอดคล้องกันว่า เมื่อวันที่  ๑๘  มิถุนายน ๒๕๖๓  นาง  ก.  บอกให้นาง  ว.  ไปรับแจกเงินซื้อเสียงเลือกตั้งที่ป่าช้าย่าจัน อำเภอเถิน  จังหวัดลำปาง แต่เมื่อถึงเวลานัดหมายกลับไม่มีการแจกเงิน  วันรุ่งขึ้นนาง  ก.  นำเงินจำนวน  ๖๐๐ บาท  ไปมอบให้นาง  ว.  ถึงบ้านเพื่อให้เลือกเบอร์  ๑ ซึ่งหมายถึงให้เลือกผู้คัดค้าน แต่นาง  ว.  ไม่อยู่  นาง  ก.  จึงมอบเงินให้นาย ต.  รับไว้แทน  นาย  ต. ใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่บันทึกเหตุการณ์ขณะนั้นไว้ปรากฏตามวิดีโอคลิป  แต่ต่อมานาง  ก.  ไปให้การต่อคณะกรรมการสืบสวนและไต่สวนว่า เงินจำนวน  ๖๐๐ บาท  นั้น นาง ก.  จ่ายให้นาง  ว.  เพื่อชำระค่าอาหารที่จ้างนาง  ว.  ทำ  แต่เมื่อพิเคราะห์แล้วถึงอย่างไรคำให้การต่อคณะกรรมการสืบสวนและไต่สวนก็ขัดต่อความเป็นจริง  เนื่องจากนาง ก.  ให้การว่า  ได้จ้างนาง  ว.  ทำอาหารวันละ ๖๐  บาท  รวม ๕  วัน  ค่าจ้างต้องเป็นเงิน  ๓๐๐ บาท  แต่นาง  ก.  มอบเงินให้ ๖๐๐  บาท  เกินไป ๓๐๐  บาท  จึงไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง  คำเบิกความของนาง  ก.  ต่อศาลจึงมีน้ำหนักให้รับฟังมากกว่าที่ไปให้การต่อคณะกรรมการสืบสวนและไต่สวน  ส่วนนาย ต.  นั้น ไม่ปรากฏว่านาย  ต.  มีพฤติกรรมอันเป็นหลักฐานชี้ชัดไปว่าการบันทึกวิดีโอคลิปนั้นกระทำไปเพื่อกลั่นแกล้ง  ใส่ร้ายหรือขัดขวางผู้คัดค้านจึงเชื่อได้ว่าเบิกความไปตามเหตุการณ์ที่ตนได้รู้ได้เห็นมาจริง  ทางไต่สวนของผู้ร้องจึงมีน้ำหนักในการรับฟังได้ว่านาง  ก.  กระทำการซื้อเสียงตามวิดีโอคลิปจริง  ส่วนที่ผู้คัดค้านอ้างว่าพฤติการณ์ซื้อขายเสียงที่เกิดขึ้นมีเพียงรายนี้รายเดียวนั้น เห็นว่า  นอกจากนาง  ก.  นาง  ว.  และนาย  ต.  ที่เบิกความยืนยันว่ามีการนัดหมายให้ไปรับเงินที่ป่าช้าย่าจันแล้ว  นาง  ส. ก็ให้การต่อคณะกรรมการสืบสวนและไต่สวนว่า ได้ไปที่ป่าช้าย่าจันเช่นเดียวกัน พบคนจำนวนมากรวมทั้งนาง  ว.  และนาย  ต.  ด้วย  จึงฟังได้ว่ามีเหตุการณ์ที่ส่อไปในทางที่มีความพยายามจะใช้เงินซื้อเสียงจากประชาชนให้ลงคะแนนเลือกผู้สมัครคนหนึ่งคนใด การซื้อเสียงเลือกตั้งที่เกิดขึ้นครั้งนี้จึงไม่ใช่มีเพียงรายเดียวดังที่ผู้คัดค้านอ้าง  เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า  นาง  ก.  มอบธนบัตรซึ่งเย็บติดกัน  จำนวน ๒  ชุด  ชุดละ ๓๐๐  บาท  ให้แก่นาย ต.  เพื่อฝากให้นาง  ว.  อันเป็นการจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนให้แก่ผู้คัดค้านจริง    ผู้คัดค้านย่อมได้รับประโยชน์ในการเลือกตั้งจากการกระทำของนาง  ก.  การกระทำของนาง  ก.  จึงเป็นการกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อจูงใจให้นาง  ว.  และนาย ต.  ผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนให้แก่ผู้คัดค้านด้วยวิธีการให้ทรัพย์สิน  อันเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. ๒๕๖๑  มาตรา ๗๓ วรรคหนึ่ง  (๑) แล้ว อันเป็นผลทำให้การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดลำปาง  เขตเลือกตั้งที่ ๔  แทนตำแหน่งที่ว่าง  มิได้เป็นไปโดยสุจริต  หรือเที่ยงธรรม จึงเป็นเหตุต้องสั่งให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดลำปาง เขตเลือกตั้งที่ ๔  ใหม่ ทั้งนี้  ตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร  พ.ศ. ๒๕๖๑  มาตรา ๑๓๓

          จึงพิพากษาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดลำปาง  เขตเลือกตั้ง ที่  ๔  ใหม่ แทนนาย  ว.  ผู้คัดค้าน

          ซึ่งตามคำวินิจฉัยของศาลฎีกาดังกล่าวจะเห็นได้ว่าเป็นการวินิจฉัยเกี่ยวกับพฤติการณ์และข้อเท็จจริงในสำนวนที่เกิดขึ้นที่ถือว่าทำให้การเลือกตั้งมิได้เป็นไปโดยสุจริตหรือเที่ยงธรรม อันถือเป็นตัวอย่างหนึ่งของคำวินิจฉัยของศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งที่แสดงถึงความมุ่งหมายที่จะรักษาเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยเกี่ยวกับการเลือกตั้งให้เป็นไปตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข

                                                                                      แผนกคดีเลือกตั้งในศาลฎีกา

                                                                                                มิถุนายน  ๒๕๖๕


เผยแพร่โดย

แผนกคดีเลือกตั้ง

เข้าดู
แชร์บทความนี้

บทความสาระความรู้ล่าสุด
การฟ้องเรียกค่าเสียหายคดีรถชนที่มีการฟ้องผู้กระทำความผิดเป็นคดีอาญาด้วย

ในคดีละเมิดอำนาจศาล ศาลชั้นต้นลงโทษผู้ถูกกล่าวหาฐานละเมิดอำนาจศาลให้จำคุก 6 เดือน และปรับ 500 บาท ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ผู้ถูกกล่าวหาฎีกาได้หรือไม่

กรณีที่โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ผู้กระทำละเมิด ต่อมาปรากฏข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 1 ไม่ใช่ลูกจ้างจำเลยที่ 2 แต่เป็นลูกจ้างบริษัท จ. โจทก์จึงยื่นคำร้องขอถอนฟ้องจำเลยที่ 2 แล้วขอให้ศาลหมายเรียกบริษัท จ. นายจ้างที่แท้จริง เข้ามาเป็นจำเลยร่วมในคดีได้หรือไม่

การฎีกาคำสั่งระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้นในปัญหาข้อเท็จจริง อยู่ในบังคับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 หรือไม่
การฎีกาคำสั่งระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้นในปัญหาข้อเท็จจริง อยู่ในบังคับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 หรือไม่