ครพ.ภษ. 1233 – 1234.63
การนำเข้าตู้สาขาโทรศัพท์อัตโนมัติครบชุดของโจทก์จำนวน 15 รายการ ไม่ใช่การซื้อแบบแยกชิ้นเฉพาะส่วนที่เป็นโปรแกรมคอมพิวเตอร์ขั้นพื้นฐาน การนำเข้าสินค้าพิพาทของโจทก์จึงไม่เข้าลักษณะเป็นสัญญาอนุญาตให้ใช้สิทธิในโปรแกรมคอมพิวเตอร์ อันจะถือเป็นเงินได้พึงประเมินตามประมวลรัษฎากร มาตรา 40 (3) โจทก์จึงไม่มีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่าย ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 70 และไม่ถือเป็นการให้บริการในต่างประเทศและมีการใช้บริการในราชอาณาจักรอันจะต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มตามประมวลรัษฎากร มาตรา 83/6 ตามแนวคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2050/2559 ฎีกาของจำเลยจึงไม่เป็นปัญหาสำคัญที่ศาลฎีกาควรวินิจฉัย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคสอง (1) และ (5) ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. 2528 มาตรา 26
ครพ.ภษ. 4957/2563
โจทก์ได้รับเงินได้เพราะเหตุออกจากงาน 2 ประเภท คือ เงินชดเชยตามกฎหมายแรงงานจากบริษัท น. ซึ่งเป็นนายจ้างจ่ายให้โจทก์ในวันที่ 25 พฤศจิกายน 2557 และโจทก์ได้รับเงินจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ท. ในวันที่ 6 มกราคม 2558 เมื่อผู้ที่จ่ายเงินชดเชยตามกฎหมายแรงงานคือนายจ้างของโจทก์ ส่วนผู้จ่ายเงินจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ คือ กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ท. ซึ่งเป็นกองทุนตามกฎหมายที่ได้จดทะเบียนเป็นกองทุนสำรองเลี้ยงชีพตามพระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พ.ศ. 2530 อันเป็นนิติบุคคลต่างหากจากนายจ้างของโจทก์ จึงไม่ใช่กรณีที่นายจ้างของโจทก์เป็นผู้จ่าย ประกอบกับการจ่ายเงินจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพต้องเป็นไปตามที่พระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พ.ศ. 2530 กำหนดไว้ มิใช่จ่ายตามความประสงค์ของนายจ้าง เงินที่จ่ายจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพจึงถือว่าเป็นเงินที่จ่ายในนามของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ดังนั้น ผู้ที่จ่ายเงินชดเชยการเลิกจ้างกับเงินที่จ่ายจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพให้แก่โจทก์ไม่ใช่ผู้จ่ายเงินได้พึงประเมินรายเดียวกัน กรณีจึงไม่เข้าเงื่อนไขที่ผู้มีเงินได้จะเลือกเสียภาษีตามมาตรา 48 (5) แห่งประมวลรัษฎากร ได้เฉพาะเงินได้ที่ได้จ่ายในปีภาษีแรกที่มีการจ่ายเงินได้ตามประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 45) ข้อ 2 (ข) เมื่อโจทก์ได้รับเงินที่จ่ายจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพในปีภาษี 2558 ซึ่งเป็นคนละปีภาษีกับที่โจทก์ได้รับเงินชดเชย โจทก์จึงมีสิทธิในการเลือกนำเงินได้จากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพดังกล่าวมาแยกคำนวณเสียภาษีเงินได้ต่างหากจากเงินได้อื่น ตามมาตรา 48 (5) แห่งประมวลรัษฎากรประกอบประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 45) ที่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษพิพากษามานั้นชอบแล้วและเป็นไปตามแนวคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8668/2560, 5258/2560และ 12753/2558 และคำสั่งคดีขออนุญาตฎีกาของศาลฎีกาที่ ครพ.ภษ. 5378/2562ส่วนคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 843/2554 ที่จำเลยอ้างมานั้นมีข้อเท็จจริงไม่ตรงกับคดีนี้ ฎีกาของจำเลยจึงไม่เป็นปัญหาสำคัญที่ศาลฎีกาควรวินิจฉัย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 วรรคสอง (1) ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดี
ภาษีอากร พ.ศ. 2528 มาตรา 26