ภาษีอากร : ประมวลรัษฎากร มาตรา 12

ครพ.ภษ.๘๒๑๐/๒๕๖๗                 

            ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว คดีมีปัญหาตามที่โจทก์ขออนุญาตฎีกาว่า คำสั่งยึดทรัพย์ที่ดินแปลงพิพาทของโจทก์ตามประมวลรัษฎากร มาตรา ๑๒ ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ และจำเลยดำเนินการบังคับคดีภายในระยะเวลาตามกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า โจทก์ได้รับหนังสือแจ้งการประเมินจากจำเลยว่ามีเงินได้พึงประเมินที่ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับปีภาษี ๒๕๔๕ ถึงปีภาษี ๒๕๔๖ มีรายรับที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับเดือนภาษีเมษายน ๒๕๔๖ ถึงเดือนภาษีกรกฎาคม  ๒๕๔๖ และมีรายรับที่ต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะสำหรับเดือนภาษีมกราคม ๒๕๔๔ ถึงเดือนภาษีธันวาคม ๒๕๔๖ และถึงกำหนดชำระตามการประเมินแล้ว แต่โจทก์มิได้เสียภาษีอากรดังกล่าวให้แก่จำเลยภายในกำหนด ภาษีอากรที่ต้องเสียย่อมถือเป็นภาษีอากรค้างตาม ป.รัษฎากร มาตรา ๑๒ วรรคหนึ่ง เพื่อให้ได้รับชำระค่าภาษีอากรค้างเมื่อไม่มีการให้ทุเลาการเสียภาษีอากร อธิบดีกรมสรรพากรจึงมีอำนาจสั่งยึดหรืออายัดและขายทอดตลาดทรัพย์สินของโจทก์ผู้ต้องรับผิดเสียภาษีอากรได้ภายในระยะเวลา ๑๐ ปี ตาม ป.วิ.พ. มาตรา ๒๗๑ (เดิม) ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับในขณะนั้นตาม ป.รัษฎากร มาตรา ๑๒ วรรคสี่ แต่คดีนี้เนื่องจากโจทก์อุทธรณ์การประเมินต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ และเมื่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์มีคำวินิจฉัยยกอุทธรณ์โจทก์ได้นำคดีมาฟ้องต่อศาลขอให้เพิกถอนการประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ และต่อมาได้มีการอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่  ๖๑๓๒/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๑๘ ธันวาคม ๒๕๖๐ การนับระยะเวลา ๑๐ ปี ดังกล่าวจึงต้องนับแต่วันที่ได้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกา ดังนั้น เมื่อเจ้าพนักงานของจำเลยมีประกาศคำสั่งยึดที่ดินพิพาทของโจทก์เมื่อวันที่ ๑๔ มกราคม ๒๕๕๓ หลังพ้นกำหนดชำระภาษีตามการประเมินเพียง ๒ ปี เศษ  จึงเป็นการมีคำสั่ง ยึดทรัพย์สินของโจทก์ภายในระยะเวลาไม่เกิน ๑๐ ปี นับแต่วันที่ได้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกา คำสั่งยึดที่ดินพิพาทจึงชอบด้วยกฎหมายอันมีหลักประกันความเป็นธรรมหรือมีมาตรฐานในการปฏิบัติราชการไม่ต่ำกว่าหลักเกณฑ์ที่กำหนดใน พ.ร.บ.วิธีปฏิบัติราชการทางปกครองฯ แล้ว ส่วนที่โจทก์อ้างว่าจำเลยต้องดำเนินการบังคับคดีซึ่งรวมถึงขายทอดตลาดที่ดินพิพาทให้เสร็จสิ้นภายใน ๑๐ ปี ด้วยนั้น เห็นว่า เมื่อคดีนี้จำเลยยึดที่ดินพิพาทของโจทก์ภายในระยะเวลาไม่เกิน ๑๐ ปี นับแต่วันมีคำพิพากษาศาลฎีกา จึงถือได้ว่าเป็นการดำเนินการตามขั้นตอนในการบังคับเพื่อนำเงินมาชำระภาษีอากรค้างให้ครบถ้วนภายในระยะเวลา ตาม ป.รัษฎากร มาตรา ๑๒ ประกอบ ป.วิ.พ. มาตรา ๒๗๑  (เดิม) แล้ว แม้การขายทอดตลาดที่ดินพิพาทเพื่อนำเงินมาชำระภาษีอากรค้างยังไม่แล้วเสร็จ ก็ไม่ทำให้จำเลยหมดสิทธิในการบังคับเอาแก่ที่ดินพิพาทที่ยึดไว้แล้วแต่อย่างใด กรณีไม่มีเหตุให้เพิกถอนคำสั่งยึดที่ดินพิพาท เมื่อวินิจฉัยดังนี้แล้ว จึงไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาข้ออื่นของโจทก์อีกเพราะไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลงไป กรณีจึงไม่อาจเปลี่ยนแปลงผลของคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษได้ ฎีกาของโจทก์ไม่เป็นปัญหาสำคัญที่ศาลฎีกาควรวินิจฉัยตาม ป.วิ.พ. มาตรา ๒๔๙ วรรคสอง (๑) ถึง (๕) ประกอบ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากรฯ มาตรา ๒๖ จึงมีคำสั่งไม่อนุญาตให้โจทก์ฎีกา 

 

เผยแพร่โดย

แผนกคดีภาษีอากรในศาลฎีกา

วันที่เผยแพร่
24/10/2568
เข้าดู
86
Share