ครพ.ภษ.9292/๒๕๖๗
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว คดีมีปัญหาตามที่โจทก์ขออนุญาตฎีกาว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ เห็นว่า จำเลยส่งหนังสือแจ้งการประเมินภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๕ (ภ.ด.ส.๖) สำหรับที่ดินโฉนดเลขที่ ๒๑๘๕ เนื้อที่ดิน ๘๑๙ ตารางวา ตั้งอยู่ที่ซอยประชาอุทิศ ๖๙ แขวงทุ่งครุ เขตทุ่งครุ กรุงเทพมหานคร ให้โจทก์ที่บ้านเลขที่ ๒๐๘ ซอยช่างนาค ถนนสมเด็จเจ้าพระยา แขวงสมเด็จเจ้าพระยา เขตคลองสาน กรุงเทพมหานคร ๑๐๖๐๐ ทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับ โจทก์ได้รับโดยบิดาโจทก์ลงชื่อรับไว้แทน เมื่อวันที่ ๒๘ พฤษภาคม ๒๕๖๕ ตามใบตอบรับในประเทศ ต่อมาวันที่ ๑๔ มิถุนายน ๒๕๖๕ โจทก์ยื่นคำร้องคัดค้านและขอให้ทบทวนการประเมินภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างตาม พ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างฯ มาตรา ๗๓ วรรคหนึ่ง ต่อผู้บริหารท้องถิ่นซึ่งก็คือผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ต่อมาผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครได้ส่งหนังสือแจ้งผลการพิจารณาคำร้องคัดค้านการประเมินภาษีหรือการเรียกเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ให้แก่โจทก์ทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับไปยังโจทก์ตามที่อยู่เดิม โดยมีมารดาของโจทก์ซึ่งเป็นผู้บรรลุนิติภาวะแล้วและอยู่ ณ ภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่ของโจทก์ได้ลงชื่อเป็นผู้รับไว้แทนเมื่อวันที่ ๒๖ กรกฎาคม ๒๕๖๕ ตามใบตอบรับในประเทศ ซึ่งครบกำหนดสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับหนังสือแจ้งผลการพิจารณาคำร้องคัดค้านดังกล่าวในวันที่ ๒๕ สิงหาคม ๒๕๖๕ ตรงกับวันพฤหัสบดี โจทก์ยื่นหนังสือลงวันที่ ๒๕ สิงหาคม ๒๕๖๕อุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์การประเมินภาษี โดยส่งหนังสือทางไปรษณีย์ถึงผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร แต่ส่งเมื่อวันที่ ๒๗ สิงหาคม ๒๕๖๕ ตรงกับวันเสาร์ และจำเลยรับหนังสือเมื่อวันที่ ๓๐ สิงหาคม ๒๕๖๕ ซึ่งเมื่อนับตั้งแต่วันที่ ๒๖ กรกฎาคม ๒๕๖๕ ที่โจทก์ได้รับหนังสือแจ้งผลการพิจารณาคำร้องคัดค้านดังกล่าวถึงวันที่ ๓๐ สิงหาคม ๒๕๖๕ ที่จำเลยได้รับคำอุทธรณ์ของโจทก์ย่อมเกินกำหนดระยะเวลาสามสิบวันตาม พ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างฯ มาตรา ๗๓ วรรคสี่ เมื่อโจทก์มิได้โต้แย้งว่าที่อยู่ในการจัดส่งดังกล่าวไม่ใช่ภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่ของโจทก์และมิได้โต้แย้งว่ามารดาโจทก์มิใช่บุคคลซึ่งอยู่ ณ ภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่เดียวกันกับโจทก์ จึงถือว่ามารดาโจทก์เป็นผู้รับหนังสือแจ้งผลการพิจารณาคำร้องคัดค้านดังกล่าวไว้แทนโจทก์โดยโจทก์ไม่จำต้องมอบอำนาจดังที่โจทก์อ้างแต่อย่างใด ถือว่าโจทก์ได้รับหนังสือแจ้งผลการพิจารณาคำร้องคัดค้านการประเมินภาษีหรือการเรียกเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างในวันที่ ๒๖ กรกฎาคม ๒๕๖๕ ดังกล่าวโดยชอบด้วย พ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างฯ มาตรา ๑๓ วรรคหนึ่ง ส่วนที่โจทก์ฎีกาว่า การนับวันตามที่กฎหมายกำหนด หมายถึง เวลาทำการปกติของจำเลยและตัวแทนของจำเลย คือวันจันทร์ถึงวันศุกร์ ไม่นับวันเสาร์และวันอาทิตย์นั้น เห็นว่า พ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างฯ มาตรา ๗๓ วรรคสี่ มิได้กำหนดว่าให้นับเฉพาะวันทำการตามที่โจทก์ฎีกา ดังนั้น เมื่อโจทก์ยื่นคำอุทธรณ์ในวันที่ ๓๐ สิงหาคม ๒๕๖๕ อันเป็นระยะเวลาเกินกว่าสามสิบวันนับแต่วันที่โจทก์ได้รับหนังสือแจ้งผลการพิจารณาคำร้องคัดค้านดังกล่าว ตาม พ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างฯ มาตรา ๗๓ วรรคสี่ โจทก์จึงไม่มีอำนาจนำคดีมาฟ้องเพื่อขอเพิกถอนการประเมินภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๕ เมื่อวินิจฉัยดังนี้จึงไม่จำต้องพิจารณาในประเด็นเบี้ยปรับและเงินเพิ่ม ที่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษวินิจฉัยมานั้นชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์จึงไม่เป็นปัญหาสำคัญที่ศาลฎีกาควรวินิจฉัยตาม ป.วิ.พ. มาตรา ๒๔๙ วรรคสอง (๓) และ (๕) ประกอบ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากรฯ มาตรา ๒๖