คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๓๒๘๕/๒๕๖๔
ตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๗ ในกรณีที่เจ้าหน้าที่ป่าไม้เห็นว่าได้มีการกระทำความผิดเกิดขึ้นในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ได้กำหนดการปฏิบัติหน้าที่ทั้งวิธีการทางการปกครอง และการดำเนินคดีอาญาแก่ผู้กระทำผิดจึงเป็นดุลพินิจที่เจ้าหน้าที่ป่าไม้จะเลือกใช้วิธีการใดที่เหมาะสม อีกทั้งจำเลยเองก็ยืนยันต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ให้ใช้กระบวนการยุติธรรมในการจัดการแก้ไขปัญหา การที่เจ้าหน้าที่ป่าไม้เลือกใช้วิธีการดำเนินคดีอาญาแก่จำเลยจึงเป็นไปตามความประสงค์ของจำเลย ประกอบกับพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ มาตรา ๔ บัญญัติว่า พระราชบัญญัตินี้มิให้ใช้บังคับแก่...(8) การดำเนินงานตามกระบวนการยุติธรรมทางอาญา... ดังนั้น เมื่อเจ้าหน้าที่ป่าไม้ผู้เป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ที่ควบคุมและรักษาป่าได้ใช้อำนาจในการจับกุมปราบปรามจำเลยซึ่งกระทำผิดต่อกฎหมายว่าด้วยป่าไม้และกล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวนเพื่อให้ดำเนินคดีอาญาแก่จำเลยในความผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. ๒๔๘๔ และพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๗ อันเป็นขั้นตอนหนึ่งของการดำเนินงานตามกระบวนการยุติธรรมทางอาญา ไม่ใช่การดำเนินการในทางปกครองแล้ว จึงเป็นข้อยกเว้นมิให้นำพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ มาใช้บังคับ ตามมาตรา ๔ ดังกล่าว การที่เจ้าหน้าที่ป่าไม้ไม่นำหลักเกณฑ์ของมาตรา ๓๐ และมาตรา ๓๑ แห่งพระราชบัญญัติ
วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ มาใช้บังคับแก่จำเลยก่อนที่จะดำเนินคดีแก่จำเลยนั้นจึงชอบแล้ว
พนักงานสอบสวนมีอำนาจหน้าที่ในการรวบรวมพยานหลักฐานต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับความผิดที่มีการกล่าวหาเพื่อประสงค์จะทราบข้อเท็จจริงและพฤติการณ์ต่าง ๆ อันเกี่ยวกับความผิดที่ถูกกล่าวหา และเพื่อรู้ตัวผู้กระทำผิดและพิสูจน์ให้เห็นความผิดหรือความบริสุทธิ์ของผู้ต้องหาซึ่งตามกฎหมาย มิได้บัญญัติว่าจะต้องสอบสวนมากน้อยเพียงใด ดังนั้น หากพนักงานสอบสวนเห็นว่าพยานหลักฐานเพียงพอที่จะพิสูจน์ให้เห็นความผิดของจำเลยแล้วก็ไม่จำต้องสอบสวนในเรื่องต่าง ๆ ดังที่จำเลยยกขึ้นมาฎีกาได้ การสอบสวนของพนักงานสอบสวนจึงชอบแล้ว
จัดทำโดย แผนกคดีสิ่งแวดล้อมในศาลฎีกา
เดือน ธันวาคม 2565