คำพิพากษาฎีกาที่ ๒๗๖๔/๒๕๖๕ กรณีความเสียหายเกิดขึ้นต่อชีวิต ร่างกาย สุขภาพ หรืออนามัย ของผู้บริโภคอันเป็นผลมาจากสารที่ได้รับจากการฉีดชีวโมเลกุลที่จำต้องใช้ระยะเวลาในการแสดงอาการ  เป็นกรณีตาม พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค  พ.ศ. ๒๕๕๑  มาตรา  ๑๓

          คำพิพากษาฎีกาที่ ๒๗๖๔/๒๕๖๕  พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ.  ๒๕๕๑  มาตรา ๑๓  บัญญัติว่า  “ในกรณีที่ความเสียหายเกิดขึ้นต่อชีวิต  ร่างกาย สุขภาพ  หรืออนามัย โดยผลของสารที่สะสมอยู่ในร่างกายของผู้บริโภคหรือเป็นกรณีที่ต้องใช้เวลาในการแสดงอาการ  ผู้บริโภคหรือผู้มีอำนาจฟ้องคดีแทนผู้บริโภคต้องใช้สิทธิเรียกร้องภายในสามปีนับแต่วันที่รู้ถึงความเสียหายและรู้ตัวผู้ประกอบธุรกิจที่ต้องรับผิด แต่ไม่เกินสิบปีนับแต่วันที่รู้ถึงความเสียหาย” บทบัญญัติดังกล่าวแยกความเสียหายที่เกิดขึ้นต่อชีวิต  ร่างกาย สุขภาพ  หรืออนามัย  เป็น ๒  กรณี  คือ กรณีแรกเป็นผลของสารที่สะสมอยู่ในร่างกายของผู้บริโภค และกรณีที่สองเป็นผลของสารที่ต้องใช้เวลาในการแสดงอาการของผู้บริโภค  เมื่อข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า  เมื่อวันที่ ๒  กันยายน  ๒๕๕๘ โจทก์เข้ารับการบริการที่ ม.คลีนิค เพื่อรักษาและฟื้นฟูสภาพตับ โดยการฉีดชีวโมเลกุลเข้าสู่ร่างกายของโจทก์ ซึ่งโจทก์ได้รับการฉีดชีวโมเลกุลตามนัดอย่างต่อเนื่องตามปริมาณที่จำเลยที่ ๒ กำหนดจนครบ โดยฉีดครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ ๓๐ ตุลาคม  ๒๕๕๘  รวม ๖  ครั้ง  ตามประวัติการรักษา การฉีดชีวโมเลกุลเข้าสู่ร่างกายดังกล่าวจึงเป็นการให้บริการทางการแพทย์อย่างหนึ่ง
ที่อยู่ในความรู้เห็นโดยเฉพาะของคู่ความฝ่ายที่เป็นผู้ประกอบธุรกิจ  ภาระการพิสูจน์ในประเด็นดังกล่าวจึงตกแก่จำเลยที่  ๑  และที่ ๒  ตาม พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค  พ.ศ. ๒๕๕๑ มาตรา  ๒๙  ในข้อนี้นาย ว.  แพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคภูมิแพ้ โรงพยาบาล บ.  พยานโจทก์เบิกความว่า  จากการสอบถามจำเลยที่ ๒ ถึงส่วนประกอบของชีวโมเลกุลที่ฉีดให้แก่โจทก์  จำเลยที่ ๒ ทราบเพียงว่าเป็นสารสกัดจากวัวและผลิตจากประเทศเยอรมันเท่านั้น  และตามทางนำสืบของจำเลยที่  ๑ และที่  ๒ ไม่ปรากฏหลักฐานใดในชั้นพิจารณาเลยว่าสารดังกล่าวคืออะไร ได้รับการรับรองจากหน่วยงานของทางราชการที่เกี่ยวข้อง  หรือมีงานวิจัยทางวิชาการใดมาสนับสนุนให้เห็นว่าสารชีวโมเลกุลอาจตกค้างหรือสะสมอยู่ในร่างกายจนก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิต  ร่างกาย  สุขภาพ หรืออนามัยได้หรือไม่ และข้อเท็จจริงยังปรากฏอีกว่าภายหลังจากโจทก์ได้รับฉีดชีวโมเลกุลครั้งแรก  โจทก์เริ่มมีอาการแพ้  และเมื่อโจทก์ได้รับการฉีดชีวโมเลกุลในครั้งต่อๆ มา โจทก์มีอาการแพ้ทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นจนเกิดอาการผื่นขึ้นบนใบหน้า  ลำคอและเกิดตุ่มขึ้นตามร่างกายของโจทก์  จนกระทั่งจำเลยที่  ๑ ต้องพาโจทก์เข้ารับการรักษาอาการแพ้ที่โรงพยาบาล บ.  ตั้งแต่วันที่ ๑๙  กุมภาพันธ์  ๒๕๕๙ จนถึงวันที่  ๑๙  กรกฎาคม ๒๕๖๐  แต่การรักษาไม่ได้ผลแพทย์จึงหยุดการรักษา  ตามเวชระเบียนผู้ป่วย แสดงว่าอาการแพ้ที่เกิดขึ้นตามร่างกายของโจทก์มีมาอย่างต่อเนื่องเกือบ ๒ ปี  ไม่อาจรักษาให้หายขาดได้ และไม่แน่นอนว่าในอนาคตจะมีอาการอย่างไรต่อไป  ผลของสารที่โจทก์ได้รับจากการฉีดชีวโมเลกุลจำต้องใช้ระยะเวลาในการแสดงอาการ ไม่อาจถืออาการแพ้ที่เห็นได้โดยประจักษ์ก่อนหน้านั้นเป็นผลสุดท้ายของความเสียหายที่เกิดขึ้น  กรณีต้องปรับด้วย พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ. ศ.  ๒๕๕๑ มาตรา ๑๓  มิใช่ปรับด้วยอายุความ  ๑  ปี  ตาม ป.พ.พ. มาตรา  ๔๔๘ ดังที่จำเลยที่  ๑  และที่ ๒  ฎีกา วันที่โจทก์รู้ถึงความเสียหายคดีนี้จึงยังไม่เริ่มต้นนับ  โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ ๒๗  ตุลาคม ๒๕๖๐ ฟ้องโจทก์จึงไม่ขาดอายุความตามบทบัญญัติดังกล่าว 

 

 

 

แผนกคดีผู้บริโภคในศาลฎีกา

กุมภาพันธ์ ๒๕๖๖

เผยแพร่โดย

แผนกคดีผู้บริโภค

วันที่เผยแพร่
20/02/2566
เข้าดู
6
Share