ครพ.ภษ. 22/2563
โจทก์ยื่นแบบแสดงรายการเพื่อเสียภาษีเงินได้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล โดยไม่ได้นำกำไรสุทธิจากกิจการที่ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล ตามพระราชบัญญัติส่งเสริมการลงทุน พ.ศ. 2520 มารวมคำนวณกำไรสุทธิที่จะต้องเสียภาษี และมิได้เฉลี่ยกำไรสุทธิตามสัดส่วนของกำไรสุทธิของแต่ละกิจการเพื่อใช้สิทธิลดอัตราภาษี เจ้าพนักงานประเมินจึงประเมินภาษีเงินได้นิติบุคคลโดยปรับปรุงวิธีการคำนวณให้ถูกต้องตามรายการที่โจทก์แสดงไว้ในแบบแสดงรายการอันเป็นการใช้อำนาจตามมาตรา 18 แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งมาตรานี้ไม่ได้บัญญัติให้เจ้าพนักงานประเมินต้องออกหมายเรียกโจทก์มาไต่สวนภายในระยะเวลาสองปีหรือห้าปีนับแต่วันที่ยื่นรายการก่อนดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 19 แห่งประมวลรัษฎากรแต่อย่างใด การประเมินของเจ้าพนักงานจึงชอบด้วยกฎหมาย คำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษชอบแล้วและเป็นไปตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4546/2561 ฎีกาของโจทก์จึงไม่เป็นปัญหาสำคัญที่ศาลฎีกาควรวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคสอง (1) และ (2) ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. 2528 มาตรา 26
ครพ.ภษ. 1233 – 1234/2563
ผลขาดทุนสุทธิของโจทก์ที่ยกมาแสดงในแบบ ภ.ง.ด. 50 ของรอบระยะเวลาบัญชีตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2543 ถึง 31 มีนามคม 2544 นั้น เป็นผลสืบเนื่องมาจากผลขาดทุนสุทธิของโจทก์ในรอบระยะเวลาบัญชีตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2542 ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2543ซึ่งเจ้าพนักงานประเมินได้ออกหมายเรียกตรวจสอบแล้วเห็นว่า โจทก์ไม่มีผลขาดทุนสุทธิเหลืออยู่ที่จะยกไปใช้ในรอบบัญชีถัดไปได้ การที่จำเลยปรับปรุงผลขาดทุนสุทธิยกมาจากรอบระยะเวลาบัญชีตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2542 ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2543 ในแบบ ภ.ง.ด. 50 ของรอบระยะเวลาบัญชีตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2543 ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2543 จึงถือได้ว่าเป็นการประเมินจากรายการหรือข้อเท็จจริงที่ปรากฏในแบบแสดงรายการที่ผู้เสียภาษียื่นไว้ต่อเจ้าพนักงานไม่ถูกต้องในส่วนของผลขาดทุนสุทธิยกมาไม่เกินห้าปีก่อนรอบระยะเวลาบัญชีปัจจุบัน โดยไม่ให้โจทก์มีผลขาดทุนสุทธิเหลืออยู่ในแบบ ภ.ง.ด. 50 เจ้าพนักงานประเมินจึงมีอำนาจประเมินภาษีโจทก์ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 18 ได้ ซึ่งมีคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4231/2550 วินิจฉัยไว้แล้วการประเมินภาษีเงินได้นิติบุคคลหัก ณ ที่จ่าย ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 54 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 70 นั้น มาตรา 51 ให้เจ้าพนักงานประเมินอาจส่งหนังสือแจ้งให้โจทก์ส่งพยานหลักฐานอันควรแก่เรื่องเพื่อตรวจสอบการหักภาษี ณ ที่จ่ายได้ ตามที่เห็นสมควร จึงไม่อยู่ในบังคับที่ต้องออกหมายเรียกตรวจสอบก่อนตามประมวลรัษฎากร มาตรา 19ทั้งนี้ เทียบเคียงคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5857/2549 และที่ 8829/2550 สำหรับภาษีมูลค่าเพิ่ม ประมวลรัษฎากรได้บัญญัติไว้โดยเฉพาะในมาตรา 88/4 ซึ่งอยู่ในหมวด ๔ ภาษีมูลค่าเพิ่ม ส่วนที่ 12 ว่าด้วยอำนาจเจ้าพนักงานประเมิน จึงไม่อยู่ในบังคับที่ต้องออกหมายเรียกตรวจสอบก่อนตามประมวลรัษฎากร มาตรา 19 ทั้งนี้ เทียบเคียงคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5067/2549 และที่ 15072/2551 ฎีกาของโจทก์จึงไม่มีผลที่จะวินิจฉัยเปลี่ยนแปลงคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษได้กรณีไม่เป็นปัญหาสำคัญที่ศาลฎีกาควรวินิจฉัย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคสอง (1) และ (5) ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. 2528 มาตรา 26
ครพ.ภษ. 2900/2564
หนี้ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาของจำเลยในคดีนี้เกิดจากการที่จำเลยยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาฉบับเพิ่มเติมสำหรับปีภาษี 2552 ซึ่งเป็นปีภาษีพิพาทว่า จำเลยมีหนี้ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่ต้องชำระเพิ่มเติม เจ้าพนักงานของโจทก์จึงได้ออกเอกสารใบแจ้งการค้างชำระภาษีอากร 82,420.29 บาท ซึ่งเป็นจำนวนตามที่จำเลยยื่นแบบแสดงรายการหลังหักเงินค่าภาษีที่จำเลยชำระไปบางส่วนแล้ว 5,000 บาท จึงมิใช่กรณีที่เจ้าพนักงานประเมินมีเหตุอันควรเชื่อว่า ผู้แสดงรายการตามแบบที่ยื่นไม่ถูกต้องตามความจริงหรือไม่บริบูรณ์ อันต้องออกหมายเรียกเพื่อตรวจสอบไต่สวนตามประมวลรัษฎากร มาตรา 19 และมีหนังสือแจ้งการประเมินตามมาตรา 20 ฎีกาของจำเลยจึงไม่เป็นปัญหาสำคัญที่ศาลฎีกาควรวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. 2528 มาตรา 26
ครพ.ภษ. 7101/2563
การประเมินจากรายการหรือข้อเท็จจริงที่ปรากฏตามแบบแสดงรายการที่ผู้เสียภาษีอากรยื่นเสียภาษีอากรไว้ไม่ถูกต้อง เจ้าพนักงานประเมินมีอำนาจประเมินตามประมวลรัษฎากร มาตรา 18 จึงไม่ต้องออกหมายเรียกผู้ยื่นรายการมาไต่สวนตามมาตรา 19 แต่หากเป็นการประเมินจากรายการที่นอกเหนือจากที่ปรากฏตามแบบแสดงรายการ จะมิใช่การประเมินตามมาตรา 18 เจ้าพนักงานประเมินต้องออกหมายเรียกผู้ยื่นรายการมาไต่สวนก่อนตามมาตรา 19 และมาตรา 20 คดีนี้เมื่อเจ้าพนักงานประเมินออกหนังสือแจ้งการประเมินภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาปีภาษี 2553 ถึงปีภาษี 2556 ให้โจทก์ชำระภาษีและเงินเพิ่มเนื่องจากโจทก์ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (ภ.ง.ด. 90) แสดงรายการลดหย่อนคู่สมรส ลดหย่อนบุตร และดอกเบี้ยเงินกู้ยืมไม่ถูกต้อง และแสดงรายการเงินได้ของภริยาว่าไม่มีเงินได้ ทั้งที่มีเงินได้ ซึ่งล้วนแต่เป็นการประเมินจากรายการที่ปรากฏในแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (ภ.ง.ด. 90) ที่โจทก์ยื่นไว้ในปีภาษี 2553 ถึงปีภาษี 2556 เจ้าพนักงานประเมินจึงมีอำนาจประเมินตามมาตรา 18 กรณีจึงไม่จำต้องออกหมายเรียกโจทก์มาไต่สวนก่อนออกหนังสือแจ้งการประเมินภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามมาตรา 19 เมื่อเจ้าพนักงานประเมินออกหนังสือแจ้งการประเมินภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปีภาษี 2553 ถึงปีภาษี 2556 ไปยังโจทก์เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2558 อันเป็นการประเมินภายในกำหนด ๑๐ ปี นับแต่วันที่โจทก์ยื่นแบบแสดงรายการ หนังสือแจ้งการประเมินภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาดังกล่าวจึงชอบด้วยกฎหมายซึ่งศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษได้วินิจฉัยตามแนวคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4546/2561, 4231/2550 และ 6667/2541 ฎีกาของโจทก์จึงไม่เป็นปัญหาสำคัญที่ศาลฎีกาควรวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคสอง (1) ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. 2528 มาตรา 26
ครพ.ภษ. 11979/2563
แม้โจทก์จะประกอบกิจการขายน้ำมันเชื้อเพลิง แต่เมื่อกรณีของโจทก์ได้ความว่า โจทก์ไม่ยื่นแบบ ภ.ง.ด. 50 และรายการซึ่งต้องใช้ในการคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคล สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีพิพาท ปี 2554 และปี 2555 เจ้าพนักงานประเมินได้แนะนำให้โจทก์ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้ตั้งแต่ชั้นตรวจสภาพกิจการ แต่โจทก์ไม่ปฏิบัติตาม จนกระทั่งเจ้าพนักงานประเมินออกหมายเรียกตรวจสอบตามประมวลรัษฎากร มาตรา 23 หากโจทก์ส่งมอบเอกสารหลักฐานทางบัญชีเพื่อประโยชน์ในการตรวจสอบและคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคลตามเงื่อนไขและวิธีการตามประมวลรัษฎากรไม่ครบถ้วน ทำให้เจ้าพนักงานประเมินไม่สามารถคำนวณกำไรสุทธิในรอบระยะเวลาบัญชีพิพาทได้ เจ้าพนักงานประเมินจึงมีอำนาจใช้ดุลพินิจประเมินภาษีได้ในอัตราร้อยละ 5 ของยอดรายรับก่อนหักรายจ่ายใด ๆ หรือยอดขายก่อนหักรายจ่ายใด ๆ ตามประมวลรัษฎากรมาตรา 71 (1) ฎีกาของโจทก์จึงไม่เป็นปัญหาที่เกี่ยวพันกับประโยชน์สาธารณะ หรือความสงบเรียบร้อยของประชาชน ไม่เป็นกรณีที่คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษได้วินิจฉัยข้อกฎหมายที่สำคัญขัดกันหรือขัดกับแนวบรรทัดฐานของคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลฎีกาที่ศาลฎีกาควรวินิจฉัย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคสอง (1) (2) ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. 2528 มาตรา 26
ครพ.ภษ. 8183/2563
โจทก์ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล (ภ.ง.ด.50) รอบระยะเวลาบัญชีตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2552 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2552 เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2553 และรอบระยะเวลาบัญชีตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2553 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2553 เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2554 เมื่อนางสาว ส. สรรพากรพื้นที่กรุงเทพมหานคร 2 เห็นว่าโจทก์แสดงรายการตามแบบไม่ถูกต้อง นางสาว ส. ย่อมมีอำนาจออกหมายเรียกให้โจทก์ไปพบเพื่อให้ถ้อยคำและส่งเอกสาร หมายเรียกพิพาทออกเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2554 จึงเป็นการออกภายในเวลา 2 ปี นับแต่วันที่ยื่นรายการตามมาตรา 19 แห่งประมวลรัษฎากร ที่สำนักงานสรรพากรพื้นที่กรุงเทพมหานคร 2 ขออนุมัติออกหมายเรียกตรวจสอบโจทก์ต่อสรรพากรภาค 1 ก็เป็นแต่เพียงขั้นตอนการปฏิบัติงานภายในของงานกำกับดูแลและตรวจสอบภาษีของจำเลยที่ 1 ในกรณีที่ออกหมายเรียกตรวจสอบเกินกว่าหนึ่งรอบระยะเวลาบัญชีเท่านั้น เมื่อสรรพากรภาค 1 ได้อนุมัติให้ออกหมายเรียกตรวจสอบตามแผนปฏิบัติงานการกำกับดูแลและตรวจสอบภาษีดังกล่าวแล้ว การที่สำนักงานสรรพากรพื้นที่กรุงเทพมหานคร 2 ประทับตราลงรับในบันทึกข้อความของสำนักงานสรรพากรภาค 1 ว่ารับวันที่ 3 ตุลาคม 2554 เวลา 16.30 แต่ในระบบสารบรรณอิเล็กทรอนิกส์ระบุว่า สำนักงานสรรพากรภาค 1 ได้รับหนังสือขออนุมัติออกหมายเรียกจากสำนักงานสรรพากรพื้นที่กรุงเทพมหานคร 2 ในวันที่ 3 ตุลาคม เวลา 17.29 นาฬิกา และสำนักงานสรรพากรพื้นที่กรุงเทพมหานคร 2 ได้รับหนังสือตอบกลับจากสำนักงานสรรพากรภาค 1 ในวันที่ 4 ตุลาคม 2554 นั้นก็หาได้มีผลถึงขนาดทำให้หมายเรียกเสียไป หมายเรียกพิพาทจึงออกโดยชอบด้วยมาตรา 19 และมาตรา 88/4 แห่งประมวลรัษฎากร ที่ศาลภาษีอากรกลางวินิจฉัยว่า หมายเรียกออกโดยไม่ชอบทำให้การประเมินไม่ชอบจึงไม่วินิจฉัยในประเด็นข้อพิพาทอื่นต่อไปนั้น ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรไม่เห็นพ้องด้วย ที่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษพิพากษายกคำพิพากษาศาลภาษีอากรกลาง ให้ศาลภาษีอากรกลางพิจารณาพิพากษาใหม่ตามรูปคดีนั้น ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรเห็นพ้องด้วยในผล และเมื่อศาลภาษีอากรกลางต้องพิพากษาใหม่ตามรูปคดีแล้วกรณีจึงไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาข้ออื่นของโจทก์ต่อไป ฎีกาของโจทก์จึงไม่เป็นปัญหาสำคัญที่ศาลฎีกาควรวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคสอง (1) (2) (4) และ (5) ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. 2528 มาตรา 26