พ.ร.บ.วิธีปฏิบัติราชการทางปกครองฯ : คำสั่งทางปกครอง มาตรา 37

 

ครพ.ภษ. 7181/62

       การที่โจทก์มีหนังสือด่วนที่สุดยกเลิกแบบแจ้งการประเมินฉบับแรกลงวันที่ 17 เมษายน 2556 และให้ใช้แบบแจ้งการประเมินฉบับที่สองลงวันที่ 7 มิถุนายน 2559 แทน ต้องถือว่าการประเมินภาษีตามแบบแจ้งการประเมินฉบับแรกไม่มีผลบังคับแล้ว กรณีจึงไม่จำต้องวินิจฉัยว่าแบบแจ้งการประเมินฉบับแรก เป็นคำสั่งทางปกครองที่ชอบตามมาตรา 37 แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 หรือไม่ และแม้ในขณะที่โจทก์ที่ 1 แจ้งการประเมินตามแบบแจ้งการประเมินฉบับที่สองยังไม่มีการยกเลิกแบบแจ้งการประเมินฉบับแรกก็ตาม แต่แบบแจ้งการประเมินฉบับที่สองก็มีข้อความสำคัญเพียงเพิ่มเติมเหตุผลในการประเมินโดยไม่ได้ขัดหรือแย้งกับแบบแจ้งการประเมินฉบับแรก ส่วนจำนวนเงินเพิ่มอากรขาเข้าที่เพิ่มขึ้นก็เป็นไปตามระยะเวลาที่เพิ่มขึ้นจนถึงวันออกแบบแจ้งการประเมินฉบับที่สอง และแม้แบบแจ้งการประเมินฉบับที่สองแสดงเหตุผลการประเมินเพิ่มเติมซึ่งไม่ชัดเจนก็ตาม แต่ก่อนมีการออกแบบแจ้งการประเมินอากรขาเข้าพนักงานเจ้าหน้าที่ของโจทก์ที่ 1 เข้าตรวจสถานประกอบการของจำเลยและยึดเอกสารมาตรวจสอบ จำเลยเข้าชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการนำเข้าสินค้าตามใบขนพิพาท เมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่ของโจทก์ที่ 1 แจ้งผลการตรวจสอบพบความผิดฐานสำแดงหลีกเลี่ยงอากรและขอให้จำเลยไปทำความตกลงระงับคดีในชั้นศุลกากร จำเลยมีหนังสืออุทธรณ์ผลการพิจารณาและโต้แย้งพิกัด เมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่มีหนังสือแจ้งผลการพิจารณาอุทธรณ์คดีและขอให้ไปทำความตกลงระงับคดี จำเลยมีหนังสือขอให้ออกแบบแจ้งการประเมิน ย่อมทำให้จำเลยเข้าใจและทราบถึงเหตุผลในการประเมินภาษีแล้วอันเป็นกรณีที่เหตุผลที่ต้องแสดงนั้นเป็นที่รู้กันอยู่แล้วไม่จำต้องมีเหตุผลอีก ตามมาตรา 37 วรรคสาม (2) แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 แบบแจ้งการประเมินดังกล่าวจึงไม่ขัดต่อมาตรา 37 แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 ฎีกาข้อนี้ของจำเลยเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงเฉพาะคดีนี้เพื่อนำไปสู่ข้อกฎหมายจึงไม่เป็นปัญหาที่เกี่ยวพันกับประโยชน์สาธารณะ หรือความสงบเรียบร้อยของประชาชน และไม่อาจมีผลเปลี่ยนแปลงคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ อันไม่เป็นปัญหาสำคัญที่ศาลฎีกาควรวินิจฉัย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง และวรรคสอง (1) ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. 2528 มาตรา 26 

         แบบแจ้งการประเมินฉบับที่สองลงวันที่ 7 มิถุนายน 2559 เป็นแต่การให้เหตุผลในการประเมินเพิ่มเติมจากแบบแจ้งการประเมินฉบับแรกลงวันที่ 17 เมษายน 2556 แม้ในขณะที่ออกแบบแจ้งการประเมินฉบับที่สองยังไม่มีการยกเลิกแบบแจ้งการประเมินฉบับแรก แต่แบบแจ้งการประเมินทั้งสองฉบับก็ไม่ได้มีเนื้อหาที่ขัดหรือแย้งกัน หนังสือด่วนที่สุดที่ให้ยกเลิกแบบแจ้งการประเมินฉบับแรกดังกล่าวจึงไม่มีผลเป็นการแก้ไขเปลี่ยนแปลงแบบแจ้งการประเมินฉบับที่สอง หนังสือด่วนที่สุดถึงจำเลยฉบับนี้จึงมิใช่หนังสือแจ้งการประเมินย่อมไม่ก่อให้เกิดสิทธิแก่จำเลยในการอุทธรณ์การประเมินตามแบบแจ้งการประเมินฉบับที่สองโดยนับระยะเวลายื่นอุทธรณ์ถัดจากวันที่ 1 มิถุนายน 2562 และเมื่อจำเลยได้รับแบบแจ้งการประเมินฉบับที่สองตั้งแต่วันที่ 14 มิถุนายน 2559 แล้วไม่อุทธรณ์การประเมินตามแบบแจ้งการประเมินฉบับนี้ภายในกำหนดเวลายื่นอุทธรณ์นับถัดจากวันที่ 14 มิถุนายน 2559 และไม่ชำระหนี้ภาษีตามการประเมิน โจทก์ทั้งสองจึงมีอำนาจฟ้อง ฎีกาข้อนี้ของจำเลยไม่อาจเปลี่ยนแปลงผลคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษจึงไม่เป็นปัญหาสำคัญที่ศาลฎีกาควรวินิจฉัย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. 2528 มาตรา 26 

ครพ.ภษ. 7718/2563

          ใบแจ้งรายการประเมินของจำเลยที่ให้โจทก์ชำระภาษีโรงเรือนและที่ดินประจำปีภาษี 2559 (ภ.ร.ด.8) เล่มที่ 002 เลขที่ 072 ฉบับลงวันที่ 22 เมษายน 2559 มีข้อความเพียงการแจ้งรายการทรัพย์สิน ค่าภาษีและให้โจทก์นำเงินไปชำระภายในกำหนด หากผู้รับการประเมินไม่พอใจให้ยื่นคำร้องขอให้พิจารณาการประเมินใหม่ โดยไม่ระบุเหตุผลตามที่กฎหมายกำหนด คือข้อเท็จจริงอันเป็นสาระสำคัญ ข้อกฎหมายที่อ้างอิง ข้อพิจารณา และข้อสนับสนุนในการใช้ดุลพินิจของจำเลย อย่างไรก็ตาม เมื่อต่อมาจำเลยได้แจ้งรายการประเมินแก่โจทก์ใหม่ ตามใบแจ้งรายการประเมิน (ภ.ร.ด.8) เล่มที่ 3 เลขที่ 1 พร้อมคำอธิบายที่มีเหตุผลสนับสนุนการใช้ดุลพินิจของจำเลยแล้ว แต่ไม่ได้ระบุวัน เดือน ปี ทำให้โจทก์ไม่สามารถนับวันยื่นคำร้องขอให้พิจารณาการประเมินใหม่ได้ พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยจึงส่งใบแจ้งรายการประเมิน (ภ.ร.ด.8) เล่มที่ 3 เลขที่ 2 ฉบับลงวันที่ 1 สิงหาคม 2560 ให้โจทก์เพื่อให้โจทก์สามารถยื่นคำร้องขอพิจารณาการประเมินใหม่ได้ถูกต้อง ถือว่าจำเลยได้แจ้งรายการประเมินพร้อมคำอธิบายประกอบการประเมินภาษีโรงเรือนและที่ดินอันจัดให้มีเหตุผลก่อนสิ้นสุดกระบวนการพิจารณาอุทธรณ์ และระบุ วัน เดือน ปี ให้ครบถ้วนตามรูปแบบคำสั่งทางปกครองตามพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 มาตรา 37 มาตรา 41 และ มาตรา 36 โดยยังคงประเมินให้รับผิดในค่าภาษีเช่นเดิม การแจ้งรายการประเมินของจำเลยจึงไม่ซ้ำซ้อน

ครพ.ภษ. 66251/2564

    หนังสือแจ้งการประเมินภาษีมูลค่าเพิ่มและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ดังกล่าวมีเหตุผลในการประเมินและเหตุผลนั้นประกอบด้วยข้อเท็จจริงอันเป็นสาระสำคัญเกี่ยวกับใบกำกับภาษีซื้อของโจทก์ ข้อกฎหมายที่อ้างอิงว่าใบกำกับภาษีซื้อดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมายอย่างไร ข้อพิจารณาและข้อสนับสนุนในการใช้ดุลยพินิจ ตามพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 มาตรา 37 วรรคหนึ่งแล้ว หนังสือแจ้งการประเมินภาษีมูลค่าเพิ่มและคำวินิจฉัยอุทธรณ์จึงเป็นคำสั่งทางปกครองที่ชอบ ฎีกาของโจทก์ในข้อเท็จจริงเพื่อนำไปสู่ข้อกฎหมายในข้อนี้จึงไม่เป็นปัญหาที่เกี่ยวพันกับประโยชน์สาธารณะ หรือความสงบเรียบร้อยของประชาชน อันไม่เป็นปัญหาสำคัญที่ศาลฎีกาควรวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคสอง (1) ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและคดีภาษีอากร พ.ศ. 2528 มาตรา 26 

ครพ.ภษ. 4964/2564       

           หนังสือแจ้งการประเมินแต่ละฉบับที่ระบุจำนวนภาษีซื้อที่แจ้งไว้เกิน เงินเพิ่ม และเบี้ยปรับที่ต้องชำระ และระบุข้อกฎหมายที่ใช้ในการประเมิน คือ ประมวลรัษฎากร มาตรา ๘๘, ๘๘/๒, ๘๘/๕, และ ๘๘/๖ โดยมีใบแนบหนังสือแจ้งการประเมินซึ่งระบุเหตุผลที่แจ้งการประเมินไว้ว่า โจทก์นำใบกำกับภาษีซื้อที่ออกโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายมาใช้คำนวณภาษีซื้อซึ่งถือเป็นภาษีซื้อต้องห้ามตามมาตรา ๘๒/๕ (๕) และกรณีเดือนภาษีสิงหาคม 2555 โจทก์นำใบกำกับภาษีซื้อมาใช้ในการคำนวณภาษีเกินกว่า ๖ เดือนนับแต่เดือนถัดจากเดือนที่ออกใบกำกับภาษี ถือว่าหนังสือแจ้งการประเมินภาษีมูลค่าเพิ่มได้ระบุทั้งเหตุผลในข้อเท็จจริงอันเป็นสาระสำคัญ เหตุผลในข้อกฎหมายที่อ้างอิง และเหตุผลในข้อพิจารณาและข้อสนับสนุนในการใช้ดุลพินิจของเจ้าพนักงานประเมินโดยชอบด้วยพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 มาตรา 37 วรรคหนึ่ง แล้ว ส่วนที่โจทก์อ้างถึงประมวลรัษฎากรมาตรา ๘๘/๖ ก็เป็นเรื่องกำหนดระยะเวลาการประเมินภาษีมูลค่าเพิ่มของเจ้าพนักงาน ไม่เป็นเหตุให้คลุมเครือหรือไม่ชัดแจ้งตามที่โจทก์อ้าง

ครพ.ภษ.6959/2565

    ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ฎีกาของโจทก์ในประการแรกว่า หนังสือแจ้งการประเมินภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นคำสั่งทางปกครองที่ชอบด้วยพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ มาตรา ๓๗ หรือไม่ เห็นว่า หนังสือแจ้งการประเมินภาษีมูลค่าเพิ่มมีเหตุผลในการประเมินและเหตุผลนั้นประกอบด้วยข้อเท็จจริงอันเป็นสาระสำคัญเกี่ยวกับใบกำกับภาษีซื้อของโจทก์ ข้อกฎหมายที่อ้างอิงว่าใบกำกับภาษีซื้อดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมายอย่างไร ข้อพิจารณาและข้อสนับสนุนในการใช้ดุลพินิจ ตามพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ มาตรา ๓๗ วรรคหนึ่ง แล้ว หนังสือแจ้งการประเมินภาษีมูลค่าเพิ่มจึงเป็นคำสั่งทางปกครองที่ชอบด้วยกฎหมาย ส่วนคำสั่งของอธิบดีกรมสรรพากรที่อนุมัติให้ขยายกำหนดเวลาประเมินจาก ๒ ปี เป็น ๕ ปี นับแต่วันสุดท้ายแห่งกำหนดเวลายื่นแบบแสดงรายการภาษีตามประมวลรัษฎากร มาตรา ๘๘/๖ วรรคท้าย เป็นเพียงการสั่งการภายในส่วนราชการของการประเมินและยังไม่มีผลเป็นการสร้างนิติสัมพันธ์ขึ้นระหว่างกรมสรรพากรและผู้ถูกประเมินอันจะทำให้ผู้ถูกประเมินมีหน้าที่ต้องชำระภาษีอากร ไม่ถือเป็นคำสั่งทางปกครองที่จะต้องแจ้งให้โจทก์ทราบแต่อย่างใด 

ครพ.ภษ.๑๑๘๑-๑๑๘๒/๒๕๖๖

        คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ประการต่อไปว่า แบบแจ้งการประเมินสินค้าพิพาททุกฉบับและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยเป็นคำสั่งทางปกครองที่ชอบด้วยพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ หรือไม่ เห็นว่า ข้อเท็จจริงปรากฏตามทางนำสืบของจำเลยโดยโจทก์มิได้นำสืบโต้แย้งให้เห็นเป็นอย่างอื่นว่า ก่อนออกแบบแจ้งการประเมิน สำนักตรวจสอบอากรของจำเลยได้ตรวจสอบใบขนสินค้าพร้อมเอกสารประกอบของโจทก์แล้วเห็นว่าเป็นการใช้สิทธิพิเศษทางภาษีอากรภายใต้ความตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียนที่ไม่ถูกต้อง จึงได้ออกใบทักท้วงการตรวจสอบอากร ประกอบกับส่วนกฎว่าด้วยถิ่นกำเนิดสินค้าพิจารณาและหารือเกี่ยวกับหลักการพื้นฐานของอาเซียนที่เกี่ยวข้องกับประเด็นการนำเข้าของโจทก์ต่อคณะอนุกรรมการความตกลงการค้าสินค้าของอาเซียนด้านกฎถิ่นกำเนิดสินค้าของประเทศไทยแล้ว ต่อมาเจ้าพนักงานประเมินของจำเลยเห็นด้วยกับข้อทักท้วงการตรวจสอบอากรดังกล่าวจึงออกแบบแจ้งการประเมินไปยังโจทก์ ๑๘ ฉบับ พร้อมทั้งแจ้งรายละเอียดและเหตุผลการประเมินให้โจทก์ทราบตามใบแนบรายละเอียดและเหตุผลการประเมินแนบท้ายส่งไปพร้อมกับแบบแจ้งการประเมิน หลังจากได้รับแจ้งการประเมิน โจทก์ยื่นคำอุทธรณ์และคัดค้านแบบแจ้งการประเมินทั้ง ๑๘ ฉบับ คณะอนุกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ด้านพิกัดอัตราศุลกากรพิจารณาและมีบันทึกถึงส่วนกฎว่าด้วยถิ่นกำเนิดสินค้าเพื่อศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับกรณีการใช้สิทธิ Back-to-Back ควบคู่กับ Third  Country Invoicing ต่อมาส่วนกฎว่าด้วยถิ่นกำเนิดสินค้าทำบันทึกตอบกลับแจ้งความเป็นมาและผลการประชุม SC-AROO และส่วนอุทธรณ์พิกัดอัตราศุลกากรมีบันทึกถึงรองอธิบดีกรมศุลกากร หารือเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว เพื่อเสนอให้ที่ประชุมคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์พิจารณาร่วมกัน จึงเห็นได้ชัดว่าพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยและคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ได้ดำเนินการพิจารณาข้อเท็จจริงรวมทั้งแสวงหาพยานหลักฐานทุกอย่างที่เกี่ยวกับการใช้ Form D ภายใต้เงื่อนไข Back-to-Back และ Third Country Invoicing ที่จำเป็นแก่การพิจารณาข้อเท็จจริงของโจทก์แล้ว ประกอบกับไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าโจทก์เคยมีหนังสือถึงจำเลยเพื่อขอโอกาสชี้แจงรายละเอียดข้อเท็จจริงเพิ่มเติมหรือขอโอกาสให้โจทก์หรือผู้เชี่ยวชาญเข้าชี้แจงและให้ความเห็นแต่อย่างใด ข้ออ้างของโจทก์จึงไม่มีน้ำหนักให้รับฟัง การดำเนินการของจำเลยจึงชอบด้วยมาตรา ๒๙ แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ แล้ว ส่วนแบบแจ้งการประเมินพิพาทและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์เป็นคำสั่งของเจ้าหน้าที่ของรัฐออกโดยอาศัยอำนาจแห่งกฎหมายซึ่งมีผลอันที่จะก่อนิติสัมพันธ์ขึ้นและมีผลกระทบต่อสถานภาพของสิทธิหรือหน้าที่ของบุคคลระหว่างโจทก์กับจำเลย แบบแจ้งการประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์จึงเป็นคำสั่งทางปกครองตามคำนิยามของมาตรา ๕ และต้องทำให้ถูกต้องตามรูปแบบของมาตรา ๓๗ แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ โดยต้องจัดให้มีเหตุผลและเหตุผลนั้นอย่างน้อยต้องประกอบด้วยข้อเท็จจริงอันเป็นสาระสำคัญ ข้อกฎหมายที่อ้างอิง ข้อพิจารณาและข้อสนับสนุนในการใช้ดุลพินิจ เว้นแต่เป็นกรณีเหตุผลนั้นเป็นที่รู้กันอยู่แล้วโดยไม่จำต้องระบุอีก สำหรับแบบแจ้งการประเมินพิพาทที่เจ้าพนักงานประเมินของจำเลยเห็นว่าโจทก์ไม่สามารถใช้สิทธิลดอัตราอากรภายใต้ความตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน (Back-to-Back) ได้ จึงประเมินอากรขาเข้าและภาษีมูลค่าเพิ่ม ให้โจทก์ชำระภาษีอากรในส่วนที่ขาดพร้อมเงินเพิ่มภาษีมูลค่าเพิ่ม โจทก์อุทธรณ์การประเมินโดยโต้แย้งยืนยันว่าโจทก์สามารถใช้สิทธิลดอัตราอากรภายใต้ความตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียนได้ และเสียภาษีถูกต้องแล้วโดยบรรยายรายละเอียดในคำอุทธรณ์ไว้อย่างชัดเจนและครบถ้วนด้วยข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย อันแสดงให้เห็นว่าโจทก์ทราบและเข้าใจเหตุผลในการประเมินดังกล่าวเป็นอย่างดี จึงถือว่าโจทก์ทราบเหตุผลในการออกคำสั่งตามแบบแจ้งการประเมินดังกล่าวแล้ว จำเลยจึงไม่ต้องระบุเหตุผลเกี่ยวกับข้อเท็จจริงอันเป็นสาระสำคัญ ข้อกฎหมายที่อ้างอิง ข้อพิจารณาและข้อสนับสนุนในการใช้ดุลพินิจอีก เนื่องจากเหตุผลนั้นเป็นที่รู้อยู่แล้วโดยไม่จำต้องระบุอีก สำหรับคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ก็ระบุรายละเอียดอ้างอิงถึงแบบแจ้งการประเมินและคำอุทธรณ์ของโจทก์โดยมีรายละเอียดที่มาของข้อเท็จจริง ข้อกฎหมาย ข้อพิจารณา ข้อสนับสนุน เหตุผลและคำวินิจฉัยในการประเมินภาษีอากรในคดีนี้อันสามารถทำให้โจทก์เข้าใจได้ดีอยู่แล้ว ดังนั้น แบบแจ้งการประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยเป็นคำสั่งทางปกครองที่ได้ทำเป็นหนังสือซึ่งได้จัดให้มีเหตุผลอันประกอบด้วย ข้อเท็จจริงอันเป็นสาระสำคัญ ข้อกฎหมายที่อ้างอิง ข้อพิจารณาและข้อสนับสนุนในการใช้ดุลพินิจและแจ้งให้โจทก์ทราบตามมาตรา ๓๗ แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ แล้ว ฎีกาของโจทก์ในประเด็นนี้ไม่อาจเปลี่ยนแปลงผลของคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ 

เผยแพร่โดย

แผนกคดีภาษีอากรในศาลฎีกา

วันที่เผยแพร่
24/11/2566
เข้าดู
7
Share