ครพ.ภษ. 1951/2564
โจทก์ขอขยายระยะเวลายื่นฎีกาถึง 2 ครั้ง และระบุในคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นฎีกาครั้งที่ 2 ว่าขอขยายระยะเวลาเป็นครั้งสุดท้าย ซึ่งศาลภาษีอากรกลางก็มีคำสั่งอนุญาตให้โจทก์ยื่นฎีกาภายในวันที่ 8 กันยายน 2563 แต่หลังจากครบกำหนดเวลาที่ขอขยายแล้วโจทก์กลับมายื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาวางเงินค่าธรรมเนียมศาลในชั้นฎีกา ซึ่งในการยื่นฎีกาโจทก์ย่อมทราบว่าต้องชำระค่าธรรมเนียมศาลมาแต่แรก ที่อ้างว่าโจทก์และกรรมการโจทก์ประกอบธุรกิจการค้าที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวเนื่องจากประเทศปิดน่านฟ้า ปิดเมือง ปิดประเทศสืบเนื่องต่อกันมาทำให้ธุรกิจของโจทก์เป็นศูนย์ ไม่ก่อให้เกิดรายได้ และต้องขาดทุนเรื่องค่าใช้จ่ายและเงินเดือนพนักงานมาตลอด โจทก์ไม่สามารถเตรียมเงินค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาหรือค่าใช้แทนหรือค่าทนายความได้ทันนั้น ไม่มีเหตุผลให้รับฟัง กรณีจึงไม่มีเหตุสมควรที่จะขยายระยะเวลาวางเงินค่าธรรมเนียมศาลในชั้นฎีกาให้แก่โจทก์ให้ยกคำร้องและเมื่อโจทก์ซึ่งไม่ได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลไม่เสียค่าขึ้นศาลชั้นฎีกา ตามข้อกำหนดของประธานศาลฎีกาว่าด้วยการขออนุญาตฎีกาในคดีแพ่ง พ.ศ. 2558 ข้อ 7 คำร้องขออนุญาตฎีกาจึงไม่ชอบ
ครพ.ภษ. 11897/2563
เมื่อวันที่ 24 เมษายน 2563 โจทก์ยื่นคำร้องขออนุญาตฎีกาพร้อมฎีกาและยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาวางเงินค่าธรรมเนียมศาลในชั้นฎีกาออกไป 30 วัน นับแต่วันดังกล่าว ศาลภาษีอากรกลางมีคำสั่งไม่อนุญาตและให้ยกคำร้อง แต่ในวันเดียวกันศาลภาษีอากรกลางมีคำสั่งในคำร้องขออนุญาตฎีกาของโจทก์ว่า โจทก์มิได้วางเงินค่าขึ้นศาลชั้นฎีกา จึงให้โจทก์วางเงินค่าขึ้นศาลให้ครบถ้วนภายในวันที่ 29 เมษายน 2563 ครั้นต่อมาวันที่ 29 เมษายน 2563 โจทก์ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาวางเงินค่าธรรมเนียมศาลในชั้นฎีกา ศาลภาษีอากรกลางมีคำสั่งว่า กรณีไม่มีเหตุเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิม ให้ยกคำร้อง ซึ่งตามข้อกำหนดของประธานศาลฎีกาว่าด้วยการขออนุญาตฎีกาในคดีแพ่ง พ.ศ. 2558 ข้อ 9 ระบุว่า “ในกรณีมีการขอขยายระยะเวลาใด ๆ เช่น การยื่นคำร้องหรือคำฟ้องฎีกา หรือการชำระหรือวางเงินตามข้อ 7 หากศาลชั้นต้นเห็นสมควรอนุญาตให้ขยาย ให้ศาลชั้นต้นสั่งตามที่เห็นสมควร หากจะไม่อนุญาต ให้ศาลชั้นต้นรีบส่งคำร้องขอขยายระยะเวลาพร้อมสำนวนความไปยังศาลฎีกาเพื่อพิจารณาสั่งโดยเร็วต่อไป” ฉะนั้นการสั่งไม่อนุญาตให้ขยายระยะเวลาวางเงินค่าธรรมเนียมศาลในชั้นฎีกาจึงเป็นอำนาจเฉพาะของศาลฎีกา ที่ศาลภาษีอากรกลางมีคำสั่งไม่อนุญาตให้โจทก์ขยายระยะเวลาวางเงินค่าธรรมเนียมศาลในชั้นฎีกาให้แก่โจทก์จึงไม่ชอบ ให้เพิกถอนคำสั่งของศาลภาษีอากรกลางดังกล่าวและจะได้มีคำสั่งตามคำร้องให้ถูกต้องต่อไป เมื่อศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งของศาลภาษีอากรกลางแล้วกรณีจึงไม่จำต้องพิจารณาอุทธรณ์คำสั่งศาลภาษีอากรกลางที่ยกคำร้องขอขยายระยะเวลาวางเงินค่าธรรมเนียมศาลในชั้นฎีกา ฉบับลงวันที่ 22 พฤษภาคม 2563 ของโจทก์อีกต่อไป คดีนี้โจทก์ขอขยายระยะเวลายื่นฎีกาถึง 4 ครั้ง และระบุในคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นฎีกาครั้งที่ 4 ว่าขอขยายระยะเวลาเป็นครั้งสุดท้าย ซึ่งศาลภาษีอากรกลางก็มีคำสั่งอนุญาตให้โจทก์ยื่นฎีกาภายในวันที่ 24 เมษายน 2563 แต่หลังจากครบกำหนดเวลาที่ขอขยายแล้ว โจทก์กลับมายื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาวางเงินค่าธรรมเนียมศาลในชั้นฎีกาอีก ศาลภาษีอากรกลางสั่งในคำร้องขออนุญาตฎีกาให้โจทก์วางเงินค่าขึ้นศาลให้ครบถ้วนภายในวันที่ 29 เมษายน 2563 แต่โจทก์ก็ไม่ได้นำเงินค่าธรรมเนียมศาลมาชำระตามกำหนดแต่ได้มายื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาวางเงินค่าธรรมเนียมศาลในชั้นฎีกาอีก ในการยื่นฎีกาโจทก์ย่อมทราบว่าต้องชำระค่าธรรมเนียมศาลมาแต่แรก ที่อ้างว่าทนายโจทก์ยังไม่ได้รับการติดต่อและยังไม่ได้รับเงินค่าธรรมเนียมศาลจากโจทก์และทนายโจทก์ไม่อาจยืนยันได้ว่าโจทก์จะทราบข้อเท็จจริงเรื่องการวางเงินค่าธรรมเนียมศาลแล้วหรือไม่นั้นไม่มีเหตุผลให้รับฟัง กรณีจึงไม่มีเหตุสมควรที่จะขยายระยะเวลาวางเงินค่าธรรมเนียมศาลในชั้นฎีกาให้แก่โจทก์เกินกว่าที่ศาลภาษีอากรกลางอนุญาต ยกคำร้อง และเมื่อโจทก์ซึ่งไม่ได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลไม่เสียค่าขึ้นศาลชั้นฎีกา ตามข้อกำหนดของประธานศาลฎีกาว่าด้วยการขออนุญาตฎีกาในคดีแพ่ง พ.ศ. 2558 ข้อ 7 คำร้องขออนุญาตฎีกาจึงไม่ชอบ