ครพ.ภษ. 1235/2563
โจทก์นำเข้าสินค้ายางรถยนต์จากสาธารณรัฐอินโดนีเซีย ประเภทพิกัด 4011.10.00 อัตราอากรขาเข้าร้อยละ 10 โจทก์ชำระอากรขาเข้าและพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยตรวจปล่อยสินค้าแล้ว ต่อมาโจทก์ยื่นขอใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้าและขอคืนอากรขาเข้าที่ชำระไปแล้ว 824,678 บาท พนักงานเจ้าหน้าที่มีหนังสือแจ้งโจทก์ว่าโจทก์ไม่ได้ยื่นเอกสารการขอใช้สิทธิในขณะผ่านพิธีการ ซึ่งต่อมาโจทก์ได้ยื่นอุทธรณ์คำสั่งต่ออธิบดีกรมศุลกากร และจำเลยยกอุทธรณ์ด้วยเหตุผลว่าโจทก์ขอคืนเงินอากรโดยนำหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้ามาแสดงภายหลังได้ผ่านพิธีการและรับมอบของจากอารักขากรมศุลกากรโดยมิได้สงวนสิทธิขอคืน จึงเป็นคดีที่พิพาทเกี่ยวกับการขอคืนค่าภาษีอากร ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. 2528 มาตรา 7 (3) และมาตรา 9 ซึ่งบัญญัติให้ต้องดำเนินการในศาลภาษีอากรได้ต่อเมื่อปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และระยะเวลาที่กำหนดไว้ โจทก์นำเข้าสินค้าพิพาทในวันที่ 12 กันยายน 2555 และ วันที่ 24 ตุลาคม 2555 และโจทก์ได้ยื่นหนังสือเพื่อขอใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้าในใบขนสินค้าขาเข้าทั้ง 2 ฉบับ ต่อจำเลยเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2556 จึงเป็นการใช้สิทธิขอคืนเงินอากรภายใน 5 ปี นับแต่วันนำเข้าตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กฎหมายกำหนดแล้วตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 และกรณีเป็นการเรียกร้องขอคืนเงินอากรเพราะต้องการใช้สิทธิตามข้อผูกพันตามความตกลงทางการค้าสินค้าของอาเซียน ไม่ใช่กรณีคำเรียกร้องขอคืนอากรเพราะเหตุอันเกี่ยวกับชนิด คุณภาพ ปริมาณ น้ำหนัก หรือราคาแห่งของใด ๆ หรือเกี่ยวกับอัตราอากร โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องขอให้จำเลยคืนเงินอากรได้
ครพ.ภษ.8557/2563
โจทก์ฟ้องขอให้แก้ไขการประเมินโดยขอให้งดหรือลดเบี้ยปรับเท่านั้น ไม่มีประเด็นข้อเท็จจริงในเรื่องภาษีซื้อจากกิจการน้ำมันเป็นภาษีซื้อไม่ต้องห้ามในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มและระยะเวลาการประเมินไม่ชอบด้วยประมวลรัษฎากร มาตรา 88/6 (1) (ก) ในคำฟ้องโจทก์ และประเด็นปัญหาที่โจทก์ไม่ได้ใช้สิทธิอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ตามลำดับชั้นเพื่อทำการไต่สวนข้อเท็จจริงและพิจารณาวินิจฉัย แสดงว่าโจทก์ไม่ติดใจย่อมเป็นอันยุติ โจทก์จะนำประเด็นปัญหานั้นมาฟ้องต่อศาลไม่ได้ เมื่อพิจารณาคำอุทธรณ์และหนังสือชี้แจงของโจทก์ที่มีต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ฉบับลงวันที่ 29 กันยายน 2559 แล้ว โจทก์อุทธรณ์โดยชี้แจงว่าเดิมโจทก์จดทะเบียนประกอบกิจการบำบัดน้ำเสีย มีการนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่มตามกำหนดอย่างสม่ำเสมอ ต่อมาโจทก์เปลี่ยนแปลงการประกอบกิจการเป็นการทำโรงเรือนเลี้ยงเป็ด ซึ่งเป็นกิจการที่ได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม ทำให้เข้าใจผิดว่าภาษีซื้อที่เกิดจากการซื้อทรัพย์สินและอื่น ๆ เพื่อใช้ในกิจการไม่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม จึงขอยกเว้นหรือลดหย่อนเบี้ยปรับโดยมิได้โต้แย้งการประเมินและไม่ได้ยกประเด็นปัญหาว่าขณะพิพาทโจทก์ยังคงเป็นผู้ประกอบการในระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม เมื่อโจทก์ประกอบกิจการเลี้ยงเป็ดเพื่อจำหน่ายซึ่งเป็นกิจการที่อยู่ในระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม และภาษีซื้อที่เกิดจากกิจการค้าน้ำมันไม่ใช่ภาษีซื้อต้องห้าม ภาษีซื้อพิพาทดังกล่าวจึงเป็นภาษีซื้อที่เกี่ยวข้องกับกิจการ ไม่ใช่ภาษีซื้อต้องห้ามตามประมวลรัษฎากรมาตรา 82/5 (6) รวมถึงโจทก์ไม่ได้ยกประเด็นเรื่องระยะเวลาการประเมินขึ้นอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องและยกประเด็นปัญหาดังกล่าวขึ้นในคดีนี้ได้ กรณีจึงเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลภาษีอากรกลาง ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 225 ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากรพ.ศ. 2528 มาตรา 26
ครพ.ภษ.1912/2566
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ฎีกาของโจทก์ในประเด็นที่ว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ โดยโจทก์ฎีกาว่า เงินที่โจทก์วางเพิ่มเติมเป็นประกันถือเป็นค่าอากร ซึ่งพนักงานศุลกากรจะต้องดำเนินการประเมินอากร เมื่อพนักงานศุลกากรยังไม่ได้ออกหนังสือแจ้งการประเมินและไม่มีอำนาจประเมินอากร เงินที่โจทก์วางประกันจึงถือเป็นเงินอากรที่เสียไว้เกินจำนวนที่ต้องเสีย โจทก์จึงมีสิทธิขอคืนได้ นั้น เห็นว่า การจะพิจารณาว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องขอคืนเงินจากจำเลยตามฟ้องหรือไม่ ต้องพิจารณาก่อนว่าจำนวนเงินที่โจทก์ขอคืนตามฟ้องเป็นค่าภาษี ค่าอากร หรือเงินประกันจำนวนเงินอากรที่โจทก์อาจต้องเสียสำหรับสินค้าที่โจทก์นำเข้ามาในราชอาณาจักร เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังยุติได้ว่า เมื่อวันที่ ๒๘ สิงหาคม ๒๕๖๐ โจทก์นำเข้าสินค้า ๑๘ รายการ มาจากสาธารณรัฐประชาชนจีนและได้ยื่นใบขนสินค้าขาเข้าโดยใช้สิทธิยกเว้นอากรและลดอัตราอากรสำหรับเขตการค้าเสรีอาเซียน - จีน พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยตรวจสอบสินค้าแล้วเห็นว่า สินค้าพิพาทจัดเข้าประเภทพิกัด ๘๔๑๔.๕๙.๓๐ ต่อมาวันที่ ๖ ตุลาคม ๒๕๖๐ โจทก์โต้แย้งการจำแนกประเภทพิกัดอัตราศุลกากรดังกล่าว และวางเงินให้จำเลยแล้วจึงนำของออกจากอารักขาของจำเลย ซึ่งเมื่อพิจารณาใบเสร็จรับเงิน กศก.๑๒๒ เลขที่ชำระอากร ๒๘๐๑ - ๒๑๐๐๒๐ ฉบับลงวันที่ ๖ ตุลาคม ๒๕๖๐ ที่จำเลยออกให้โจทก์มีช่องรายการจำนวนเงินอยู่ ๒ รายการ คือ ๑. ที่ชำระตามสำแดง (บาท) และ ๒. ที่วางประกัน (บาท) ในส่วนค่าอากรขาเข้า ๓๓๕,๙๙๑.๐๒ บาท และค่าปรับภาษีอากร ๖๗๑,๙๘๒.๐๔ บาท อยู่ในช่อง “ที่วางประกัน (บาท)” ส่วนค่าภาษีมูลค่าเพิ่ม ๒๓,๕๒๐ บาท และเบี้ยปรับภาษีมูลค่าเพิ่ม ๒๓,๕๒๐ บาท อยู่ในช่อง “ที่ชำระตามสำแดง (บาท)” ดังนี้ เมื่อค่าอากรขาเข้า ๓๓๕,๙๙๑.๐๒ บาท อยู่ในส่วนที่วางประกัน ประกอบกับโจทก์นำสืบมาโดยตลอดว่าโจทก์วางเงินประกันค่าอากรขาเข้าสำหรับสินค้าพิพาท กรณีจึงเห็นได้ชัดว่า จำนวนเงินที่โจทก์วางไว้แก่จำเลยดังกล่าวเป็นเงินประกันจำนวนเงินอากรสูงสุดที่โจทก์อาจต้องเสียสำหรับสินค้าพิพาทที่โจทก์นำเข้ามาในราชอาณาจักร ยังมิใช่เป็นค่าอากรที่โจทก์เสียไว้ซึ่งเกินจำนวนที่ต้องเสีย กรณีจึงเป็นเรื่องขอคืนเงินวางประกันค่าอากรและเมื่อได้ความว่าโจทก์มีหนังสือฉบับลงวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๖๓ เรื่อง ขอเงินวางประกันค่าอากร ฯลฯ ในการนำของออกจากอารักขาของศุลกากรคืน เพื่อขอให้จำเลยคืนเงิน ๑,๐๕๕,๐๑๓.๐๖ บาท ซึ่งรวมถึงเงินประกันจำนวนเงินอากรดังกล่าว โดยจำเลยรับหนังสือไว้วันที่ ๒๘ พฤษภาคม ๒๕๖๓ เมื่อเหตุแห่งการฟ้องคดีนี้เป็นกรณีที่โจทก์และจำเลยมีข้อโต้แย้งในเรื่องพิกัดอัตราศุลกากรของสินค้าพิพาท ทำให้โจทก์ต้องวางเงินประกันค่าอากรเพื่อรอผลการพิจารณาการประเมินอากรของจำเลย โดยโจทก์นำมาฟ้องเป็นคดีนี้วันที่ ๒๖ สิงหาคม ๒๕๖๓ ภายหลังจากที่โจทก์วางเงินประกันค่าอากร ๒ ปีเศษ และยื่นหนังสือดังกล่าวเป็นเวลาเพียงสามเดือนเศษ ขณะยังอยู่ในระยะเวลาตรวจสอบอันสมควร กรณียังถือไม่ได้ว่าจำเลยกระทำการโต้แย้งสิทธิโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๕๕ ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. ๒๕๒๘ มาตรา ๑๗ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องในส่วนนี้ สำหรับค่าปรับภาษีอากร เห็นว่า เงินค่าปรับภาษีอากร ๖๗๑,๙๘๒.๐๔ บาท ก็ระบุอยู่ในช่องที่วางประกันเช่นเดียวกัน จึงเป็นการวางประกันค่าปรับในคดีอาญาที่โจทก์อาจต้องรับผิดหากมีการประเมินให้ชำระค่าอากรเพิ่มอันเกี่ยวพันกับเงินวางประกันค่าอากร เมื่อโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องในส่วนเงินวางประกันค่าอากรประกอบกับการพิจารณาพิกัดของสินค้าพิพาทยังไม่ยุติและคดีในส่วนอาญาต้องรอผลการพิจารณาพิกัดของสินค้าพิพาทดังกล่าว โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องเช่นเดียวกัน สำหรับค่าภาษีมูลค่าเพิ่มและเบี้ยปรับภาษีมูลค่าเพิ่ม เห็นว่า ค่าภาษีมูลค่าเพิ่ม ๒๓,๕๒๐ บาท และเบี้ยปรับภาษีมูลค่าเพิ่ม ๒๓,๕๒๐ บาท อยู่ในช่อง “ที่ชำระตามสำแดง (บาท)” แสดงว่าโจทก์ชำระเงินในส่วนนี้โดยถือเป็นค่าภาษี มิใช่เป็นการวางประกันค่าภาษี และเมื่อได้ความจากหนังสือของโจทก์ว่า โจทก์ขอคืนเงิน ๑,๐๕๕,๐๑๓.๖๖ บาท ซึ่งรวมถึงค่าภาษีมูลค่าเพิ่มและเบี้ยปรับภาษีมูลค่าเพิ่มดังกล่าว จึงถือเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการขอคืนค่าภาษี ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. ๒๕๒๘ มาตรา ๗ (๓) แต่เมื่อจำเลยยังไม่ได้มีคำสั่งเกี่ยวกับหนังสือดังกล่าว ประกอบกับโจทก์นำคดีมาฟ้องภายหลังจากที่ยื่นหนังสือเป็นเวลาเพียงสามเดือนเศษยังถือไม่ได้ว่าจำเลยไม่พิจารณาหนังสือของโจทก์ในเวลาอันสมควร โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ฎีกาของโจทก์ไม่อาจเปลี่ยนแปลงผลคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษได้ จึงไม่เป็นปัญหาสำคัญที่ศาลฎีกาควรวินิจฉัย
ครพ.ภษ.3053/2566
คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการสุดท้ายว่า เจ้าพนักงานของโจทก์ที่ ๑ ประเมินอากรขาเข้า ภาษีสรรพสามิต ภาษีเพื่อมหาดไทย และภาษีมูลค่าเพิ่มเกินกว่าระยะเวลาตามกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังยุติได้ว่า โจทก์ที่ ๑ ดำเนินการปิดเอกสารการแจ้งหนี้เมื่อวันที่ ๒๒ มีนาคม ๒๕๖๑ จึงถือว่าจำเลยได้รับแจ้งการประเมินให้ชำระค่าภาษีอากรพร้อมเบี้ยปรับและเงินเพิ่มในวันดังกล่าว เมื่อจำเลยมิได้อุทธรณ์การประเมินต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งการประเมิน จำเลยย่อมไม่มีอำนาจฟ้องคดีต่อศาลตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. ๒๕๒๘ มาตรา ๗ (๑) และมาตรา ๘ เพื่อขอให้เพิกถอนการประเมิน และย่อมมีผลให้จำเลยไม่มีสิทธิยกเป็นข้อต่อสู้ในกรณีถูกฟ้องเป็นคดีในชั้นศาลเพื่อให้ชำระภาษีอากรตามที่เจ้าพนักงานประเมินได้ประเมินนั้นด้วย การประเมินภาษีอากรจึงเป็นอันยุติจำเลยไม่อาจยกเหตุดังกล่าวขึ้นปฏิเสธความรับผิดตามคำฟ้องของโจทก์ทั้งสามได้อีกและข้ออ้างประการอื่นเป็นกรณีไม่อาจเปลี่ยนแปลงผลของคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษได้