ภาษีศุลกากร : การได้สิทธิลดอัตราอากร

ครพ.ภษ. 1235/2563

          ประกาศกระทรวงการคลังและประกาศกรมศุลกากรที่ออกโดยอาศัยอำนาจของมาตรา 14 แห่งพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 ได้กำหนดเงื่อนไขสำคัญสำหรับผู้นำของเข้าที่ประสงค์จะใช้สิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร 1) ให้ผู้นำของเข้าแสดงหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า บัญชีราคาสินค้าที่มีข้อความรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าหรือเอกสารทางการค้าอื่นที่มีข้อความรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าเพื่อให้พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยพิจารณาเอกสารว่าเป็นไปตามข้อผูกพันตามความตกลงการค้าสินค้าของอาเซียน (ASEAN Trade in Goods Agreement : ATIGA) และข้อผูกพันตามพิธีสารว่าด้วยการนำพิกัดศุลกากรฮาร์โมไนซ์อาเซียนหรือไม่ หรือ 2) หากผู้นำของเข้าไม่สามารถแสดงหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าก่อนนำของออกจากอารักขาศุลกากรได้ ผู้นำของเข้าต้องแจ้งความจำนงเพื่อการขอใช้สิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากรโดยบันทึกข้อมูลการสงวนสิทธิการขอคืนอากรก่อนการนำของออกจากอารักขาของศุลกากร ซึ่งหากผู้นำของเข้าไม่ปฏิบัติตามให้ครบหลักเกณฑ์และวิธีการดังกล่าว ผู้นำของเข้าก็ต้องชำระอากรในอัตราปกติและไม่ได้รับสิทธิพิเศษตามมาตรา 14 แห่งพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 เมื่อข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้แย้งปรากฏว่าโจทก์ชำระอากรขาเข้าและได้รับมอบของไปจากอารักขาของศุลกากรแล้ว และโจทก์มิได้แสดงหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า (Form D) ก่อนการนำของออกจากอารักขาศุลกากร หรือแจ้งความจำนงเพื่อการขอใช้สิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากรโดยบันทึกข้อมูลการสงวนสิทธิการขอคืนอากรซึ่งเป็นเงื่อนไขสำคัญในการใช้สิทธิพิเศษทางภาษีก่อนนำของออกจากอารักขาของศุลกากร และอย่างไรก็ตาม โจทก์ก็ไม่ได้นำสืบว่าบัญชีราคาสินค้าหรือเอกสารทางการค้าอื่นจัดทำโดยผู้ส่งออกรับอนุญาตและมีข้อความรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าตามบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลของภาคีสมาชิกอาเซียนที่เข้าร่วมในโครงการนำร่องสำหรับการดำเนินการระบบการรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเองของภูมิภาค ตามที่กำหนดไว้ในประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การยกเว้นอากรและลดอัตราอากรศุลกากรสำหรับของที่มีถิ่นกำเนิดจากอาเซียน ลงวันที่ 6 มกราคม 2555 แต่อย่างใด โจทก์จึงไม่มีสิทธิได้รับเงินอากรพร้อมดอกเบี้ยคืนจากการนำเข้าสินค้าพิพาท ด้วยเหตุผลดังกล่าว แม้โจทก์จะมีอำนาจฟ้อง แต่เมื่อฎีกาของโจทก์ไม่มีผลเปลี่ยนแปลงผลคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ ฎีกาของโจทก์จึงไม่เป็นปัญหาสำคัญที่ศาลฎีกาควรวินิจฉัย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคสอง (1) (3) ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร  พ.ศ. 2528 มาตรา 26

ครพ.ภษ. 4769/2565

           ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรตรวจสำนวนประชุมปรึกษา ฎีกาของโจทก์ในประเด็นว่า โจทก์ได้รับสิทธิพิเศษยกเว้นอากรขาเข้าตามประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การยกเว้นอากรและลดอัตราอากรศุลกากรสำหรับของที่มีถิ่นกำเนิดจากอาเซียนตามหนังสือรับรองถิ่นกำเนิด (Form D) หรือไม่ เห็นว่า การใช้สิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากรตามประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การยกเว้นอากรและลดอัตราอากรศุลกากรสำหรับของที่มีถิ่นกำเนิดจากอาเซียน ลงวันที่ ๖ มกราคม ๒๕๕๕ แก้ไขเพิ่มเติม โดยประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การยกเว้นอากรและลดอัตราอากรศุลกากรสำหรับของที่มีถิ่นกำเนิดจากอาเซียน (ฉบับที่ ๒) ลงวันที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๕๘ และประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การยกเว้นอากรและลดอัตราอากรศุลกากรสำหรับของที่มีถิ่นกำเนิดจากอาเซียน ลงวันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๕๙ ตามช่วงเวลาที่โจทก์นำเข้าสินค้านั้น แม้โจทก์จะยื่นหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า (Form D) ต่อสำนักงานศุลกากรท่าเรือแหลมฉบังเพื่อใช้สิทธิยกเว้นอัตราอากรตามประกาศกระทรวงดังกล่าว แต่ก็หาใช่ว่าเมื่อยื่นหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า (Form D) และปฏิบัติตามระเบียบพิธีการที่กรมศุลกากรกำหนดแล้วจะมีผลทำให้โจทก์ได้รับสิทธิยกเว้นอัตราอากรสำหรับของที่มีถิ่นกำเนิดจากอาเซียนโดยบริบูรณ์ไม่ จำเลยที่ ๑ มีหน้าที่ตรวจสอบเอกสารต่าง ๆ ที่โจทก์ยื่นประกอบการขอคืนเงินอากรนั้นว่าถูกต้องหรือไม่ ในข้อนี้ได้ความจากทางนำสืบของจำเลยทั้งสองว่า บริษัท อ. ผู้ซื้อในประเทศมาเลเซียสั่งซื้อรถยนต์โดยสารปรับอากาศแบบใช้เชื้อเพลิงเอ็นจีวีจากบริษัท น. ผู้ขายในประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน แล้วนำเข้ามายังพื้นที่เขตปลอดอากรท่าเรือกลังตามใบขนสินค้านำของเข้าเขตปลอดอากร  “ZB1” และบริษัท อ. ได้นำรถยนต์โดยสารปรับอากาศแบบใช้เชื้อเพลิงเอ็นจีวีออกจากพื้นที่เขตปลอดอากรท่าเรือกลัง ตามใบขนสินค้านำของเข้าเขตปลอดอากร “ZB2” ส่งมาขายให้แก่โจทก์ผู้ซื้อในประเทศไทย โดยรถยนต์โดยสารปรับอากาศแบบใช้เชื้อเพลิงเอ็นจีวีที่โจทก์นำเข้าตามใบขนสินค้าขาเข้าตามคำฟ้องมีรายละเอียดของสินค้า ยี่ห้อ รุ่น หมายเลขเครื่องยนต์ หมายเลขตัวถัง ราคา จำนวนน้ำหนัก ตรงกับข้อมูลรายละเอียดของสินค้ารถยนต์โดยสารปรับอากาศแบบใช้เชื้อเพลิงเอ็นจีวีที่บริษัท อ. สั่งซื้อและนำเข้ามาจากบริษัท น. ซึ่งการเคลื่อนย้ายสินค้าเข้าและออกต่างประเทศในเขตปลอดอากรพื้นที่ท่าเรือกลังจะต้องใช้ใบขนสินค้ารหัส “ZB1” สำหรับการนำสินค้าที่นำเข้าจากต่างประเทศเข้าไปในเขตปลอดอากร และใบขนสินค้ารหัส “ZB2” สำหรับการนำสินค้าออกจากเขตปลอดอากรส่งออกนอกประเทศ เมื่อไม่ปรากฏว่ามีโรงงานผลิตรถยนต์ของบริษัท อ. ตั้งอยู่ในเขตปลอดอากรพื้นที่ท่าเรือกลังและไม่มีโรงงานลักษณะดังกล่าวในเขตท่าเรือ หากรถยนต์โดยสารปรับอากาศแบบใช้เชื้อเพลิงเอ็นจีวีที่บริษัท ค. นำเข้ามาจากประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนมีกระบวนการผลิตเพิ่มเติมต่อในโรงงานของประเทศมาเลเซียก็จะต้องทำใบขนสินค้ารหัส “K1” สำหรับการนำสินค้าจากต่างประเทศเข้าไปในประเทศเพื่อขอตรวจปล่อยจากศุลกากรเท่านั้น ประกอบกับการเคลื่อนย้ายรถยนต์โดยสารปรับอากาศแบบใช้เชื้อเพลิงเอ็นจีวีดังกล่าวสามารถทำได้โดยใช้วิธีขับรถยนต์ลงจากเรือแสดงว่ารถยนต์โดยสารปรับอากาศแบบใช้เชื้อเพลิงเอ็นจีวีที่โจทก์นำเข้ามีการติดตั้งเครื่องยนต์และสามารถขับเคลื่อนได้แล้ว เมื่อโจทก์ไม่นำสืบให้เห็นว่า รถยนต์โดยสารปรับอากาศแบบใช้เชื้อเพลิงเอ็นจีวีมีกระบวนการผลิตใดในประเทศมาเลเซียหรือไม่ ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า รถยนต์โดยสารปรับอากาศแบบใช้เชื้อเพลิงเอ็นจีวีที่โจทก์นำเข้าตามใบขนสินค้าขาเข้าดังกล่าวมีสภาพเป็นรถยนต์โดยสารสำเร็จรูปที่มีสภาพครบสมบูรณ์แล้ว โดยไม่มีการผลิตหรือประกอบในประเทศมาเลเซีย แต่เป็นรถยนต์โดยสารปรับอากาศแบบใช้เชื้อเพลิงเอ็นจีวีที่ผลิตในประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนที่บริษัท น. ขายให้แก่บริษัท อ. ซึ่งเป็นผู้ซื้อในประเทศมาเลเซีย และบริษัท อ. ขายรถยนต์โดยสารปรับอากาศแบบใช้เชื้อเพลิงเอ็นจีวีตามใบขนสินค้าขาเข้าทั้งสามฉบับดังกล่าวให้แก่โจทก์ รถยนต์โดยสารปรับอากาศแบบใช้เชื้อเพลิงเอ็นจีวีดังกล่าวไม่มีถิ่นกำเนิดจากอาเซียน โจทก์จึงไม่สามารถใช้สิทธิยกเว้นอากรขาเข้าได้ ส่วนฎีกาในประเด็นอำนาจฟ้องและฎีกาข้ออื่นของโจทก์ไม่จำต้องวินิจฉัยเพราะไม่มีผลเปลี่ยนแปลงคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ ฎีกาของโจทก์
จึงไม่เป็นปัญหาสำคัญที่ศาลฎีกาควรวินิจฉัย ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. ๒๕๒๘ มาตรา ๒๖ ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๔๙

เผยแพร่โดย

แผนกภาษีอากรในศาลฎีกา

วันที่เผยแพร่
20/12/2564
เข้าดู
4
Share