ภาษีศุลกากร : เงินเพิ่ม

ครพ.ภษ. 6935/2563

            เมื่อพิจารณาตามคำร้องขอให้จำหน่ายคดีชั่วคราว ฉบับลงวันที่ 14 พฤศจิกายน 2559 แสดงให้เห็นเจตนาของคู่ความว่า คู่ความตกลงขอถือเอาผลของคำพิพากษาศาลฎีกาในคดีหมายเลขแดงที่ 263/2557 มาชี้ขาดคดีนี้ ซึ่งคู่ความต่างก็ยอมรับว่า คดีนี้กับคดีดังกล่าวมีข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานชุดเดียวกันเมื่อศาลฎีกามีคำพิพากษาในคดีดังกล่าวเป็นคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5254/2560 โดยศาลฎีกาวินิจฉัยในประเด็นเงินเพิ่มว่า เหตุที่จำเลยไม่สามารถส่งออกผลิตภัณฑ์ไก่สดแช่แข็งได้ภายในระยะเวลาที่กำหนดเป็นเหตุที่เกิดขึ้นโดยมิใช่ความผิดของจำเลย กรณีมีเหตุงดเงินเพิ่มให้แก่จำเลย แม้คดีนี้จำเลยจะไม่ได้ขอให้งดเงินเพิ่มมาด้วย แต่คดีมีประเด็นตามคำฟ้องและคำให้การจำเลยว่า จำเลยต้องรับผิดชำระเงินเพิ่มให้แก่โจทก์หรือไม่ และโจทก์ต้องคืนเงินอากรขาเข้าและเงินเพิ่มให้แก่จำเลยตามฟ้องแย้งหรือไม่ ดังนั้น การที่ศาลภาษีอากรกลางนำเอาข้อเท็จจริงในคดีดังกล่าวมาวินิจฉัยในคดีนี้และพิจารณาให้งดเงินเพิ่มให้แก่จำเลยคดีนี้ด้วยนั้น จึงเป็นไปตามข้อตกลงของคู่ความและหาได้เป็นการวินิจฉัยคดีนอกฟ้องนอกประเด็นแต่อย่างใด การงดหรือลดเงินเพิ่มนั้นมีคำพิพากษาศาลฎีกาที่ศาลใช้ดุลพินิจงดหรือลดเงินเพิ่มให้หากมีเหตุให้งดหรือลดเงินเพิ่มได้ ตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5253/2560 คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5254/2560 และคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5450/2561 ทั้งคดีนี้ศาลภาษีอากรกลางฟังข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5254/2560 ตามความตกลงของคู่ความว่า จำเลยไม่สามารถส่งออกผลิตภัณฑ์ไก่สดแช่แข็งได้ เนื่องจากเหตุที่ไม่ใช่ความผิดของจำเลย กรณีจึงมีเหตุงดเงินเพิ่มให้แก่จำเลย ที่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษวินิจฉัยและพิพากษายืนมานั้นจึงชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ไม่มีผลเปลี่ยนแปลงคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ กรณีจึงไม่เป็นปัญหาสำคัญที่ศาลฎีกาควรวินิจฉัย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. 2528 มาตรา 26

ครพ.ภษ. 490/2565

          จำเลยมีหน้าที่ต้องรับผิดในส่วนเงินเพิ่มตามกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในเวลานั้น เมื่อคดีนี้จำเลยนำเข้าสินค้าตามใบขนสินค้าขาเข้าเลขที่ A026 0530500605 ในเดือนเมษายน 2553 ความรับผิดอากรขาเข้าตามใบขนสินค้าขาเข้าดังกล่าว เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่พระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 ยังคงมีผลใช้บังคับอยู่ โดยตามพระราชบัญญัติฉบับดังกล่าว มาตรา 112 จัตวา บัญญัติว่า “เมื่อผู้นำของเข้าหรือผู้ส่งของออกนำเงินมาชำระค่าอากรที่ต้องเสียหรือเสียเพิ่ม ให้เรียกเก็บเงินเพิ่มในอัตราร้อยละหนึ่งต่อเดือนของค่าอากรที่นำมาชำระโดยไม่คิดทบต้นนับแต่วันที่ได้ส่งมอบหรือส่งของออก จนถึงวันที่นำเงินมาชำระ...” ซึ่งบทบัญญัติดังกล่าวมิได้บัญญัติว่า เงินเพิ่มอากรขาเข้าจะต้องไม่เกินอากรขาเข้าที่ต้องเสียหรือเสียเพิ่ม ดังนี้ เมื่อจำเลยชำระอากรขาเข้าไม่ครบถ้วน โจทก์ที่ 1 จึงมีสิทธิเรียกเงินเพิ่มอากรขาเข้าได้โดยไม่มีข้อจำกัดว่าจะต้องไม่เกินอากรขาเข้าที่ต้องเสียหรือเสียเพิ่ม ตามบทกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในเวลานั้น แต่ต่อมาวันที่ 13 พฤศจิกายน 2560 ได้มีพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 ใช้บังคับ และให้ยกเลิกพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 โดยพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 มาตรา 22 บัญญัติว่า “...โดยเงินเพิ่มที่เรียกเก็บนี้ต้องไม่เกินอากรที่ต้องเสียหรือเสียเพิ่ม...” เป็นผลให้โจทก์ที่ 1 ไม่มีสิทธิตามกฎหมาย ที่จะเรียกเงินเพิ่มอากรขาเข้าเฉพาะส่วนที่เกินอากรขาเข้านับแต่วันที่พระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 มีผลใช้บังคับแล้วได้อีกต่อไปก็ตาม แต่ก็มิได้เป็นการลบล้างเงินเพิ่มที่เกิดขึ้นแล้วตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469ดังนั้น โจทก์ที่ ๑ ย่อมมีสิทธิคำนวณเรียกเงินเพิ่มส่วนที่เกินอากรขาเข้าได้จนถึงวันที่ 12 พฤศจิกายน 2560 ส่วนนับแต่วันที่ 13 พฤศจิกายน 2560 หากเงินเพิ่มยังไม่เท่าอากรขาเข้าตามการประเมิน โจทก์ที่ 1 คงมีสิทธิคำนวณเรียกเงินเพิ่มอากรขาเข้าดังกล่าวต่อไปได้จนกว่าจำนวนเงินเพิ่มจะเท่าจำนวนอากรขาเข้าตามการประเมิน ดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 22 ดังกล่าว แต่เมื่อตามแบบแจ้งการประเมิน/เรียกเก็บอากรขาเข้า/ขาออก ภาษีสรรพสามิต ภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีอื่น ๆ เอกสารหมาย จ.1 แผ่นที่ 219 ถึง 221 ปรากฏว่า เมื่อคำนวณเงินเพิ่มอากรขาเข้าถึงวันที่ 12 พฤศจิกายน 2560 ซึ่งเป็นวันก่อนหน้าวันที่พระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 มีผลใช้บังคับ ยังไม่เกินกว่าจำนวนอากรขาเข้าที่ต้องเสียเพิ่ม โจทก์ที่ 1 คงมีสิทธิคำนวณเรียกเงินเพิ่มอากรขาเข้าดังกล่าวต่อไปได้จนกว่าจำนวนเงินเพิ่มจะเท่าจำนวนอากรขาเข้าตามการประเมินเท่านั้น ฎีกาของโจทก์ทั้งสามไม่อาจเปลี่ยนแปลงผลคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษได้ จึงไม่เป็นปัญหาสำคัญที่ศาลฎีกาควรวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. 2528 มาตรา 26

ครพ.ภษ. 492/2565

        จำเลยทั้งสามมีหน้าที่ต้องรับผิดในส่วนเงินเพิ่มตามกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในเวลานั้น เมื่อคดีนี้จำเลยที่ 1 นำเข้าสินค้าตามใบขนสินค้าขาเข้าเลขที่ A009-0530801545 ในเดือนสิงหาคม 2553 ความรับผิดอากรขาเข้าตามใบขนสินค้าขาเข้าดังกล่าว เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่พระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 ยังคงมีผลใช้บังคับอยู่ โดยตามพระราชบัญญัติฉบับดังกล่าว มาตรา 112 จัตวา บัญญัติว่า “เมื่อผู้นำของเข้าหรือผู้ส่งของออกนำเงินมาชำระค่าอากรที่ต้องเสียหรือเสียเพิ่ม ให้เรียกเก็บเงินเพิ่มในอัตราร้อยละหนึ่งต่อเดือนของค่าอากรที่นำมาชำระโดยไม่คิดทบต้นนับแต่วันที่ได้ส่งมอบหรือส่งของออก จนถึงวันที่นำเงินมาชำระ...” ซึ่งบทบัญญัติดังกล่าวมิได้บัญญัติว่าเงินเพิ่มอากรขาเข้าจะต้องไม่เกินอากรขาเข้าที่ต้องเสียหรือเสียเพิ่ม ดังนี้เมื่อจำเลยที่ 1 ชำระอากรขาเข้าไม่ครบถ้วน โจทก์ที่ 1 จึงมีสิทธิเรียกเงินเพิ่มอากรขาเข้าได้โดยไม่มีข้อจำกัดว่าจะต้องไม่เกินอากรขาเข้าที่ต้องเสียหรือเสียเพิ่มตามบกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในเวลานั้น แต่ต่อมาวันที่ 13 พฤศจิกายน 2560 ได้มีพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 ใช้บังคับ และให้ยกเลิกพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 โดยพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 มาตรา 22 บัญญัติว่า “...โดยเงินเพิ่มที่เรียกเก็บนี้ต้องไม่เกินอากรที่ต้องเสียหรือเสียเพิ่ม...” เป็นผลให้โจทก์ที่ 1 ไม่มีสิทธิตามกฎหมาย ที่จะเรียกเงินเพิ่มอากรขาเข้าเฉพาะส่วนที่เกินอากรขาเข้านับแต่วันที่พระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 มีผลใช้บังคับแล้วได้อีกต่อไปก็ตาม แต่ก็มิได้เป็นการลบล้างเงินเพิ่มที่เกิดขึ้นแล้วตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 ดังนั้น โจทก์ที่ 1 ย่อมมีสิทธิคำนวณเรียกเงินเพิ่มส่วนที่เกินอากรขาเข้าได้จนถึงวันที่ 12 พฤศจิกายน 2560 ส่วนนับแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2560 หากเงินเพิ่มยังไม่เท่าอากรขาเข้าตามการประเมิน โจทก์ที่ 1 คงมีสิทธิคำนวณเรียกเงินเพิ่มอากรขาเข้าดังกล่าวต่อไปได้จนกว่าจำนวนเงินเพิ่มจะเท่าจำนวนอากรขาเข้าตามการประเมินดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 22 ดังกล่าว แต่เมื่อตามแบบแจ้งการประเมิน/เรียกเก็บอากรขาเข้า/ขาออก ภาษีสรรพสามิต ภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีอื่น ๆ เอกสารหมาย จ.1 แผ่นที่ 89 ถึง 94 ปรากฏว่า เมื่อคำนวณเงินเพิ่มอากรขาเข้าถึงวันที่ 12 พฤศจิกายน 2560 ซึ่งเป็นวันก่อนหน้าวันที่พระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 มีผลใช้บังคับ ยังไม่เกินกว่าจำนวนอากรขาเข้าที่ต้องเสียเพิ่ม โจทก์ที่ 1 คงมีสิทธิคำนวณเรียกเงินเพิ่มอากรขาเข้าดังกล่าวต่อไปได้จนกว่าจำนวนเงินเพิ่มจะเท่าจำนวนอากรขาเข้าตามการประเมินเท่านั้น ฎีกาของโจทก์ทั้งสามไม่อาจเปลี่ยนแปลงผลคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษได้ จึงไม่เป็นปัญหาสำคัญที่ศาลฎีกาควรวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. 2528 มาตรา 26

ครพ.ภษ. 493/2565

           จำเลยนำเข้าสินค้าตามใบขนสินค้าขาเข้าระหว่างวันที่ ๑๓ สิงหาคม ๒๕๕๖ ถึงวันที่ ๙ ธันวาคม ๒๕๕๗ รวม ๑๒ ฉบับ ความรับผิดอากรขาเข้าตามใบขนสินค้าขาเข้าดังกล่าวเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่พระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. ๒๔๖๙ ยังคงมีผลใช้บังคับอยู่ โดยตามพระราชบัญญัติฉบับดังกล่าว มาตรา ๑๑๒ จัตวา บัญญัติว่า “เมื่อผู้นำของเข้าหรือผู้ส่งของออกนำเงินมาชำระค่าอากรที่ต้องเสียหรือเสียเพิ่ม ให้เรียกเก็บเงินเพิ่มในอัตราร้อยละหนึ่งต่อเดือนของค่าอากรที่นำมาชำระโดยไม่คิดทบต้นนับแต่วันที่ได้ส่งมอบหรือส่งของออกจนถึงวันที่นำเงินมาชำระ...”ซึ่งบทบัญญัติดังกล่าวมิได้บัญญัติว่าเงินเพิ่มอากรขาเข้าจะต้องไม่เกินอากรขาเข้าที่ต้องเสียหรือเสียเพิ่ม ดังนี้ เมื่อจำเลยชำระอากรขาเข้าไม่ครบถ้วน โจทก์ที่ ๑ จึงมีสิทธิเรียกเงินเพิ่มอากรขาเข้าได้โดยไม่มีข้อจำกัดว่าจะต้องไม่เกินอากรขาเข้าที่ต้องเสียหรือเสียเพิ่ม ตามบทกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในเวลานั้น แต่ต่อมาวันที่ ๑๓ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ ได้มีพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. ๒๕๖๐ ใช้บังคับ และให้ยกเลิกพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. ๒๔๖๙ โดยพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. ๒๕๖๐ มาตรา ๒๒ บัญญัติว่า “...โดยเงินเพิ่มที่เรียกเก็บนี้ต้องไม่เกินอากรที่ต้องเสียหรือเสียเพิ่ม...” เป็นผลให้โจทก์ที่ ๑ ไม่มีสิทธิตามกฎหมายที่จะเรียกเงินเพิ่มอากรขาเข้าเฉพาะส่วนที่เกินอากรขาเข้านับแต่วันที่พระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. ๒๕๖๐ มีผลใช้บังคับแล้วได้อีกต่อไปก็ตาม แต่ก็มิได้เป็นการลบล้างเงินเพิ่มที่เกิดขึ้นแล้วตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. ๒๔๖๙ ดังนั้น โจทก์ที่ ๑ ย่อมมีสิทธิคำนวณเรียกเงินเพิ่มส่วนที่เกินอากรขาเข้าได้จนถึงวันที่ ๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ ส่วนนับแต่วันที่ ๑๓ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ หากเงินเพิ่มยังไม่เท่าอากรขาเข้าตามการประเมินโจทก์ที่ ๑ คงมีสิทธิคำนวณเรียกเงินเพิ่มอากรขาเข้าดังกล่าวต่อไปได้จนกว่าจำนวนเงินเพิ่มจะเท่าจำนวนอากรขาเข้าตามการประเมินดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๒๒ ดังกล่าว เมื่อได้ความจากตารางคำนวณหนี้ค่าภาษีอากร เอกสารหมาย จ.๑ แผ่นที่ ๑ ว่า เมื่อคำนวณเงินเพิ่มอากรขาเข้าถึงวันที่ 12 พฤศจิกายน 2560 ซึ่งเป็นวันก่อนหน้าวันที่พระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 มีผลใช้บังคับ ยังไม่เกินกว่าจำนวนอากรที่ต้องเสียเพิ่ม โจทก์ที่ ๑ คงมีสิทธิคำนวณเรียกเงินเพิ่มอากรขาเข้าดังกล่าวต่อไปได้จนกว่าจำนวนเงินเพิ่มจะเท่าจำนวนอากรขาเข้าตามการประเมินเท่านั้น ฎีกาของโจทก์ที่ ๑ ไม่อาจเปลี่ยนแปลงผลคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษอันไม่เป็นปัญหาสำคัญที่ศาลฎีกาควรวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๔๙ ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. ๒๕๒๘ มาตรา 26

  

เผยแพร่โดย

แผนกภาษีอากรในศาลฎีกา

วันที่เผยแพร่
22/08/2565
เข้าดู
3
Share