ภาษีอากร : เบี้ยปรับ

ครพ.ภษ.8557/2563

          แม้จะได้ความจากทางนำสืบของโจทก์ว่า โจทก์ได้รับคำแนะนำจากเจ้าหน้าที่ของจำเลยผ่านระบบคอลเซ็นเตอร์ว่าธุรกิจเลี้ยงเป็ดเป็นธุรกิจที่ไม่มีภาษีมูลค่าเพิ่ม โจทก์จึงนำยอดขายมาหักและโจทก์ได้ให้ความร่วมมือต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ในชั้นตรวจสอบ อย่างไรก็ตาม การที่โจทก์นำรายได้จากการขายเป็ดเป็นยอดขายที่ได้รับยกเว้นในการยื่นแบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่ม แสดงว่าโจทก์เข้าใจว่ากิจการเลี้ยงเป็ดของโจทก์เป็นกิจการที่ได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม แต่โจทก์กลับนำยอดภาษีซื้อในกิจการดังกล่าวมาหักในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่ม ทำให้โจทก์ได้รับประโยชน์จากภาษีซื้อซึ่งเป็นภาษีซื้อต้องห้ามตามประมวลรัษฎากรมาตรา 82/5 (6) ประกอบประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม ฉบับที่ 42 เรื่อง การกำหนดภาษีซื้อที่ไม่ให้นำไปหักในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 82/5 (6) แห่งประมวลรัษฎากร ข้อ 2 (3) ในการเครดิตภาษีดังกล่าวในเดือนถัด ๆ ไป หากจำเลยคืนภาษีไปตามที่โจทก์ขอจำนวน 11,345,823.32 บาท ก็จะทำให้รัฐต้องเสียหายเป็นเงินจำนวนมาก ทั้งการที่คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ลดเบี้ยปรับให้โจทก์ร้อยละ 50 ของเบี้ยปรับตามกฎหมายนับว่าเป็นคุณแก่โจทก์แล้ว ฎีกาของโจทก์ไม่มีผลเปลี่ยนแปลงผลคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ ฎีกาของโจทก์จึงไม่เป็นปัญหาสำคัญที่ศาลฎีกาควรวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249วรรคสอง (1) ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากรพ.ศ. 2528 มาตรา 26

ครพ.ภษ. 11977/2563

          พฤติการณ์ของโจทก์ที่นำใบกำกับภาษีที่ออกโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มในปี 2555 และปี 2556 หลายเดือนภาษี ที่ยอดซื้อที่สูงรวมหลายล้านบาท และถือเป็นใบกำกับภาษีปลอมมาใช้ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 89 (7) วรรคสอง เป็นการทำลายระบบภาษีและก่อให้เกิดความเสียหายต่อรัฐ โจทก์เป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มตั้งแต่ปี 2553 โจทก์ย่อมทราบว่าตนมีหน้าที่จัดทำรายงานภาษีขาย รายงานภาษีซื้อ จัดเก็บเอกสารหลักฐานการซื้อขายที่เกี่ยวข้อง และนำใบกำกับภาษีที่ชอบด้วยกฎหมายมาใช้ โจทก์ไม่อาจอ้างเรื่องไม่มีความรู้ในการจัดเก็บเอกสารหรือปล่อยปละละเลย มาเป็นเหตุว่าโจทก์ไม่มีเจตนาหลีกเลี่ยงภาษี ที่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษวินิจฉัยว่า ตามพฤติการณ์ยังไม่มีเหตุสมควรที่จะลดหรือลดเบี้ยปรับแก่โจทก์มานั้น ชอบด้วยเหตุผลแล้ว ฎีกาของโจทก์ไม่เป็นปัญหาสำคัญที่ศาลฎีกาควรวินิจฉัย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคสอง (1) (5) ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. 2528 มาตรา 26

ครพ.ภษ. 4964/2564

           เมื่อฟังได้ว่าโจทก์นำใบกำกับภาษีซื้อซึ่งออกโดยไม่ชอบมาใช้คำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มประกอบกับเจ้าพนักงานกรมจำเลยให้เวลาโจทก์ในการยื่นเอกสารตั้งแต่ชั้นตรวจสอบไต่สวนถึงชั้นประเมินภาษีเป็นเวลาเกือบสองปีถือว่าเป็นระยะเวลาเพียงพอและได้ให้ความเป็นธรรมแก่โจทก์แล้ว ข้ออ้างอื่นของโจทก์ตามที่ฎีกามาไม่มีเหตุที่จะงดหรือลดเงินเพิ่มแก่โจทก์ กรณีไม่อาจมีผลเปลี่ยนแปลงคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ ฎีกาของโจทก์จึงไม่เป็นปัญหาที่เกี่ยวพันกับประโยชน์สาธารณะ หรือความสงบเรียบร้อยของประชาชน ไม่เป็นการพัฒนาตีความกฎหมาย และไม่เป็นปัญหาสำคัญที่ศาลฎีกาควรวินิจฉัยตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. ๒๕๒๘ มาตรา ๒๖ ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๔๙

ครพ.ภษ. 967 - 968/2565

           ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์และจำเลยว่า กรณีมีเหตุให้งดหรือลดเบี้ยปรับและเงินเพิ่มแก่โจทก์หรือไม่ เพียงใด โจทก์จบการศึกษาในระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพเทคนิคชั้นสูง สาขาวิชาเกษตรกรรม ประกอบกิจการจำหน่ายวัสดุอุปกรณ์ทางการเกษตรตั้งแต่ปี ๒๕๔๒ โดยจดทะเบียนพาณิชย์มีชื่อทางการค้าว่า ม. ทั้งยังประกอบกิจการรับเหมาบริการดูแลและบำรุงรักษาภูมิทัศน์ท่าอากาศยานนราธิวาส จังหวัดนราธิวาส โดยมีคนงานทั้งหมด ๖ คน มีการมอบหมายงานให้หัวหน้าคนงาน นอกจากนี้โจทก์ยังมีตำแหน่งสมาชิกองค์การบริหารส่วนตำบลละหารอำเภอสายบุรี จังหวัดปัตตานี แสดงว่าโจทก์เป็นผู้มีความรู้ความสามารถในการประกอบธุรกิจและบริหารจัดการ แม้โจทก์ไม่มีพนักงานบัญชี แต่โจทก์ยื่นแบบและเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่สำนักงานสรรพากรพื้นที่สาขาสายบุรีด้วยตนเอง แสดงว่าโจทก์ย่อมรู้ว่า ประชาชนทุกคนเมื่อมีรายได้ย่อมต้องเสียภาษีโดยเฉพาะโจทก์ในฐานะผู้ประกอบกิจการยิ่งต้องขวนขวายศึกษาว่ากิจการของโจทก์มีหน้าที่ความรับผิดต้องเสียภาษีอย่างไรบ้าง แม้โจทก์ไม่มีความรู้เรื่องกฎหมายภาษีอากร แต่โจทก์สามารถขอคำแนะนำปรึกษาจากผู้รู้หรือจากเจ้าพนักงานของจำเลยได้เมื่อปรากฏว่า โจทก์มีรายได้จากการประกอบกิจการเกินกว่า ๑,๘๐๐,๐๐๐ บาทต่อปี โจทก์จึงมีหน้าที่ต้องยื่นคำขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มและยื่นแบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่ม แต่โจทก์มิได้ปฏิบัติตามกฎหมาย เมื่อเจ้าพนักงานของจำเลยตรวจพบตามข้อมูลภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่ายในระบบและตรวจสอบแบบแสดงรายการเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาของโจทก์ แล้วแจ้งให้โจทก์ทราบ โจทก์จึงต้องรับผิดชำระภาษีมูลค่าเพิ่มพร้อมเบี้ยปรับและเงินเพิ่มตั้งแต่เดือนภาษีธันวาคม ๒๕๕๕ ถึงเดือนภาษีธันวาคม 2560 ตามประมวลรัษฎากร มาตรา ๘๙ (๑) และ ๘๙/๑ อย่างไรก็ตาม แม้ตามพยานหลักฐานที่ตรวจสอบและการประเมินภาษีมูลค่าเพิ่มของจำเลย ทำให้โจทก์ไม่อาจโต้แย้งการประเมินได้และไม่สามารถชำระภาษีได้ภายในกำหนด แต่ก็ยังไม่อาจฟังได้ว่า โจทก์มีเจตนาหลีกเลี่ยงภาษีหรือไม่ให้ความร่วมมือในการตรวจสอบไต่สวน จึงมีเหตุสมควรที่จะลดเบี้ยปรับให้ ส่วนคำสั่งกรมสรรพากรที่ ท.ป. 81/2542 เรื่อง หลักเกณฑ์การงดหรือลดเบี้ยปรับหรือเงินเพิ่มภาษีเงินได้ ภาษีมูลค่าเพิ่ม และภาษีธุรกิจเฉพาะ ตามมาตรา ๒๒ มาตรา ๒๖มาตรา ๖๗ ตรี มาตรา ๘๙ และมาตรา ๙๑/๒๑ (๖) แห่งประมวลรัษฎากร เป็นการกำหนดหลักเกณฑ์เพื่อให้เจ้าพนักงานสรรพากรถือเป็นแนวปฏิบัติ หามีผลผูกมัดให้ศาลต้องถือตามด้วยไม่ ศาลมีอำนาจพิพากษางดหรือลดเบี้ยปรับตามที่เห็นสมควรแก่พฤติการณ์แห่งคดี ที่ศาลอุทธรณ์คดีชํานัญพิเศษพิพากษายืนตามศาลภาษีอากรกลางโดยให้ลดเบี้ยปรับลงร้อยละ ๒๐ แก่โจทก์จึงชอบและเหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งคดีแล้ว ส่วนที่ขอให้งดหรือลดเงินเพิ่มนั้น เห็นว่า ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อเท็จจริงที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาโดยชอบในศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ ฎีกาของโจทก์และจำเลยจึงไม่เป็นปัญหาที่เกี่ยวพันกับประโยชน์สาธารณะหรือความสงบเรียบร้อยของประชาชนไม่ อันไม่เป็นปัญหาสำคัญที่ศาลฎีกาควรวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๔๙ วรรคหนึ่ง และวรรคสอง (1) ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. ๒๕๒๘ มาตรา ๒๖

ครพ.ภษ.1618/2567

         ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ปัญหาตามที่โจทก์ทั้งสอง ขออนุญาตฎีกาว่า จำเลยต้องรับผิดเบี้ยปรับอากรขาเข้า ๑๔๖,๐๙๐.๘๐ บาท ตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. ๒๕๖๐ มาตรา ๒๒ วรรคสอง และพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. ๒๔๖๙ มาตรา ๑๑๒ ตรี หรือไม่ เห็นว่า คดีนี้ข้อเท็จจริงฟังยุติได้ว่า จำเลยนำเข้าสินค้าเมื่อวันที่ ๑ กันยายน ๒๕๔๙ และมีการแจ้งการประเมินไปยังจำเลยโดยไม่มีการเรียกเก็บเบี้ยปรับตั้งแต่ปี ๒๕๕๕ ความรับผิดอากรขาเข้าตามใบขนสินค้าขาเข้าของจำเลยจึงเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่พระราชบัญญัติศุลกากร พุทธศักราช ๒๔๖๙  ยังคงมีผลใช้บังคับอยู่ โดยตามพระราชบัญญัติฉบับดังกล่าวมาตรา ๑๑๒ ตรี มิได้บัญญัติให้ผู้นำของเข้าต้องเสียเบี้ยปรับเหมือนดังกรณีมาตรา ๒๒ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. ๒๕๖๐ ที่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษพิพากษามานั้นชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ทั้งสองจึงไม่เป็นปัญหาสำคัญ
ที่ศาลฎีกาควรวินิจฉัย 

เผยแพร่โดย

แผนกภาษีอากรในศาลฎีกา

วันที่เผยแพร่
10/10/2567
เข้าดู
9
Share