ครพ.ภษ. 1246/2564
ตามคำสั่งกรมสรรพากรที่ ท.108/2562 เรื่อง มอบอำนาจสั่งและปฏิบัติราชการแทนอธิบดีกรมสรรพากร ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินคดีที่ให้สรรพากรภาค 3 มีอำนาจสั่งและปฏิบัติราชการแทนอธิบดีกรมสรรพากร ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินคดี (1) การดำเนินคดีแพ่ง ให้มีอำนาจสั่งและปฏิบัติราชการแทนอธิบดีกรมสรรพากร เช่นเดียวกับที่ระบุไว้ในข้อ 1 (1) ของคำสั่งนี้ อำนาจในข้อ 1 (1) นั้น ระบุให้ผู้รับมอบอำนาจมีอำนาจลงนามในใบแต่งทนายความ รวมทั้งมีอำนาจพิจารณาดำเนินการอื่นใด เช่น การสั่งจ่ายเงินค่าธรรมเนียมในการดำเนินคดี ฯลฯ นั้น เป็นการมอบอำนาจเกี่ยวกับการดำเนินคดีทั้งปวง ซึ่งย่อมหมายรวมถึงการใช้สิทธิเรียกร้องแทนลูกหนี้หรือใช้สิทธิในฐานะเจ้าหนี้ได้ด้วย โดยไม่จำต้องระบุข้อความดังกล่าวอันเป็นรายละเอียดไว้ในคำสั่งอีก ที่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษวินิจฉัยว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องนั้น ชอบด้วยเหตุผลแล้ว ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1253 (1) กำหนดให้เป็นหน้าที่ของผู้ชำระบัญชีที่จะต้องบอกกล่าวแก่ประชาชนว่าบริษัทนั้นได้เลิกกันแล้วและให้ผู้เป็นเจ้าหนี้ทั้งหลายยื่นคำทวงหนี้แก่ผู้ชำระบัญชี อันหมายความว่า ผู้ชำระบัญชีต้องมีหน้าที่บอกกล่าวให้เจ้าหนี้ยื่นคำทวงหนี้ หาใช่ให้อำนาจแก่ผู้ชำระบัญชีเท่านั้นที่จะมีอำนาจเรียกให้ผู้ถือหุ้นชำระค่าหุ้นได้ และเมื่อจำเลยที่ 2 เพิกเฉยไม่ทำหน้าที่เรียกให้ผู้ถือหุ้นชำระค่าหุ้นที่ค้าง โจทก์จึงอาศัยสิทธิตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 233 กรณีลูกหนี้เพิกเฉยไม่ใช้สิทธิเรียกร้องเป็นเหตุให้เจ้าหนี้ต้องเสียประโยชน์ โจทก์ในฐานะเจ้าหนี้ภาษีอากรย่อมจะใช้สิทธิเรียกร้องนั้นในนามของตนเองแทนจำเลยที่ 1 ลูกหนี้เพื่อป้องกันสิทธิของตนในมูลหนี้นั้นได้ ฎีกาของจำเลยปัญหาสำคัญที่ศาลฎีกาควรวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคสอง (1) และ (5) ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. 2528 มาตรา 26