ภาษีอากร : ภาษีมูลค่าเพิ่ม ใบกำกับภาษีออกโดยไม่ชอบ

ครพ.ภษ. 2971/2564

          มาตรา 86 วรรคหนึ่ง แห่งประมวลรัษฎากร กำหนดให้โจทก์ผู้ประกอบการจดทะเบียนมีหน้าที่จัดทำใบกำกับภาษีและสำเนาใบกำกับภาษีสำหรับการขายสินค้าทุกครั้ง และต้องจัดทำในทันทีที่ความรับผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มเกิดขึ้น พร้อมทั้งให้ส่งมอบใบกำกับภาษีนั้นแก่ผู้ซื้อสินค้า ส่วนสำเนาใบกำกับภาษีให้เก็บรักษาไว้ตามมาตรา 87/3 ซึ่งใบกำกับภาษีดังกล่าวเป็นภาษีขายที่โจทก์ได้เรียกเก็บจากผู้ซื้อสินค้าตามมาตรา 77/1 (17) และ 82/4 วรรคสาม แห่งประมวลรัษฎากร และเป็นภาษีซื้อของผู้ประกอบการจดทะเบียนที่ซื้อสินค้าเพื่อใช้ในการประกอบกิจการของตนถูกโจทก์เรียกเก็บตามมาตรา 77/1 (18) และ 82/4 วรรคสี่ แห่งประมวลรัษฎากร ดังนั้นการออกใบกำกับภาษีจะต้องมีการขายสินค้าจริงและเรียกเก็บเงินจากผู้ซื้อสินค้าซึ่งซื้อสินค้าจริง การตรวจสอบใบกำกับภาษีจึงสามารถตรวจสอบได้ทั้งผู้ซื้อและผู้ขายโดยรายละเอียดและข้อเท็จจริงต้องถูกต้องตรงกัน และใบกำกับภาษีดังกล่าวต้องมีรายการครบถ้วนตามมาตรา 86/4 แห่งประมวลรัษฎากร เมื่อเจ้าพนักงานของจำเลยตรวจสอบพบว่าบริษัท บ. ไม่สามารถพิสูจน์การได้มาและการชำระค่าสินค้าตามใบกำกับภาษี จึงมีเหตุอันควรเชื่อว่าบริษัท บ. ไม่ได้ประกอบการจริง แต่นำใบกำกับภาษีที่ออกโดยห้างสรรพสินค้าทั่วไปมาใช้เป็นภาษีซื้อและสร้างค่าใช้จ่ายโดยไม่ได้จ่ายจริง เจ้าพนักงานของจำเลยจึงได้ตรวจสอบด้านผู้ออกใบกำกับภาษีซึ่งเป็นห้างสรรพสินค้าทั่วไปรวมทั้งโจทก์พบว่า มีการยกเลิกใบกำกับภาษีอย่างย่อและออกใบกำกับภาษีแบบเต็มรูปของโจทก์ 5 สาขา โดยระบุชื่อบริษัท บ. หรือเดิมชื่อบริษัท ซ. หรือบริษัท พ. นำมาใช้เครดิตภาษีซื้อสำหรับเดือนภาษีธันวาคม 2553 แม้โจทก์ประกอบกิจการขายสินค้าในลักษณะขายปลีกมีสิทธิออกใบกำกับภาษีอย่างย่อได้ตามมาตรา 86/6 แห่งประมวลรัษฎากร ก็เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ประกอบการที่ขายสินค้าในลักษณะขายปลีกแก่บุคคลจำนวนมาก แต่ใบกำกับภาษีอย่างย่อมีข้อความไม่สมบูรณ์ในส่วนที่เป็นสาระสำคัญ ได้แก่ ไม่มีชื่อผู้ซื้อสินค้า จึงไม่อาจนำไปหักในการคำนวณภาษีได้ตามมาตรา 82/5 (2) แห่งประมวลรัษฎากร แต่เมื่อโจทก์ได้รับการร้องขอให้ยกเลิกใบกำกับภาษี อย่างย่อและต้องจัดทำใบกำกับภาษีแบบเต็มรูปแทน โจทก์ต้องออกใบกำกับภาษีขายให้แก่ผู้ที่ซื้อสินค้าและชำระราคาแก่โจทก์จริง ไม่ได้หมายความว่าโจทก์จะออกใบกำกับภาษีให้แก่บุคคลใดก็ได้ที่มีใบกำกับภาษีอย่างย่อ โจทก์มีหน้าที่ความรับผิดชอบในการตรวจสอบว่าบุคคลที่โจทก์จะออกใบกำกับภาษีแบบเต็มรูปเป็นบุคคลที่ซื้อสินค้าและชำระราคาแก่โจทก์ตามใบกำกับภาษีอย่างย่อจริง เมื่อโจทก์พิสูจน์ไม่ได้ว่า บริษัท บ. เป็นผู้ซื้อสินค้าและชำระราคาตามใบกำกับภาษีอย่างย่อจริงไม่ว่าจะชำระด้วยตนเองหรือมีบุคคลอื่นชำระแทน แม้โจทก์เป็นผู้ประกอบการจดทะเบียน แต่โจทก์ไม่มีสิทธิที่จะออกใบกำกับภาษีแบบเต็มรูปให้แก่บริษัท บ. ซึ่งไม่ได้เป็นผู้ซื้อสินค้าและชำระราคาแก่โจทก์จริงตามมาตรา 86/13 แห่งประมวลรัษฎากร ฎีกาของโจทก์ไม่เป็นปัญหาสำคัญที่ศาลฎีกาควรวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. 2528 มาตรา 26

ครพ.ภษ. 11847/2563

          แม้ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้แย้งรับฟังได้ความว่า โจทก์ซื้อสินค้าคือสังกะสียี่ห้อหัววัวและมีการชำระราคาสินค้าจริง แต่การที่โจทก์อ้างว่าโจทก์ซื้อสินค้าจากตัวแทนของผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม และมีสิทธิรับประโยชน์ในการนำใบกำกับภาษีซื้อมาใช้เครดิตภาษีหรือขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มได้นั้น จะต้องได้ความว่าโจทก์ได้รับใบกำกับภาษีที่ออกจากผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มตามจำนวนเงินที่โจทก์จ่ายไปเนื่องจากหากเป็นกรณีที่บริษัท ต. ขายสินค้าโดยมีตัวแทนตามที่โจทก์อ้าง บริษัทย่อมต้องขายสินค้าและออกใบกำกับภาษีในจำนวนเงินที่รวมเอาค่าตอบแทนเป็นส่วนหนึ่งของค่าสินค้าและเป็นต้นทุนของบริษัทที่อยู่ในระบบการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มเมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่า บริษัท ต. เป็นผู้ออกใบกำกับภาษีขายให้แก่โจทก์ แต่โจทก์มิได้ซื้อสินค้าจากบริษัทดังกล่าวโดยตรงแต่สั่งซื้อผ่านห้างหุ้นส่วนจำกัด ก. โดยห้างเป็นผู้ชำระราคาค่าสินค้าให้แก่บริษัท ต. มีลักษณะการสั่งซื้อสินค้า คือ โจทก์สั่งสินค้ากับห้างหุ้นส่วนจำกัด ก. เนื่องจากบริษัท ต. ไม่ขายสินค้าให้กับลูกค้ารายอื่น ห้างหุ้นส่วนจำกัด ก. มีกำไรจากการบวกกำไรในการจำหน่ายสังกะสี โดยคิดร้อยละ 0.5 ของค่าสินค้าที่โจทก์สั่งซื้อ โจทก์ชำระค่าสินค้าเป็นเงินสดให้แก่ห้างหุ้นส่วนจำกัด ก. หลังจากนั้นห้างจึงหักกำไรแล้วจึงโอนเงินค่าสินค้าให้แก่บริษัท ต. และบริษัท ต.จะออกใบกำกับภาษีขายให้โจทก์ตามจำนวนเงินที่ได้รับจริงหลังหักกำไรออกแล้ว จากพฤติการณ์ดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า การที่บริษัท ต. ออกใบกำกับภาษีขายให้โจทก์โดยไม่ได้รวมค่าตอบแทนที่ให้ห้างหุ้นส่วนจำกัด ก. เป็นส่วนหนึ่งของค่าสินค้าทำให้เชื่อได้ว่าโจทก์ไม่ได้ซื้อสินค้าจากบริษัท ต. แต่โจทก์ซื้อสินค้าจากห้างหุ้นส่วนจำกัด ก. ราคาที่โจทก์ชำระคือราคาสินค้าที่บวกกำไรให้แก่ห้างหุ้นส่วนจำกัด ก. และห้างได้สั่งซื้อสินค้าอีกต่อจากบริษัท ต. ห้างหุ้นส่วนจำกัด ก. จึงไม่ใช่ตัวแทนของบริษัท ต. ผู้ออกใบกำกับภาษีพิพาท แต่เป็นกรณีโจทก์ซื้อสินค้าและชำระราคาแก่ผู้ประกอบการรายหนึ่งแต่ผู้ออกใบกำกับภาษีเป็นผู้ประกอบการอีกรายหนึ่ง ใบกำกับภาษีพิพาทที่ออกโดยบริษัท ต. ให้แก่โจทก์จึงเป็นใบกำกับภาษีที่ออกโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา 86 แห่งประมวลรัษฎากร โจทก์จึงต้องห้ามไม่อาจนำภาษีซื้อตามใบกำกับภาษีมาคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มได้ตามมาตรา 82/5 (5) กรณีไม่อาจมีผลเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญในคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ ฎีกาของโจทก์จึงไม่เป็นปัญหาสำคัญที่ศาลฎีกาควรวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. 2528 มาตรา 26 

ครพ.ภษ. 6959/2565

          การประเมินภาษีมูลค่าเพิ่มชอบด้วยประมวลรัษฎากร มาตรา ๘๘/๖ หรือไม่ เห็นว่า ประมวลรัษฎากร มาตรา ๘๘/๖ (๑) ก ระบุว่าการประเมินผู้ประกอบการของเจ้าพนักงานประเมินให้กระทำภายในกำหนดเวลา ๒ ปี นับแต่วันสุดท้ายแห่งกำหนดเวลายื่นแบบแสดงรายการภาษี และวรรคสอง ระบุว่าในกรณีมีเหตุอันสมควรเชื่อว่าผู้ประกอบการแสดงรายการตามแบบแสดงรายการภาษีไม่ถูกต้องตามความเป็นจริงหรือไม่สมบูรณ์ ให้เจ้าพนักงานประเมินโดยอนุมัติอธิบดีประเมินภาษีได้ภายในกำหนดเวลา ๕ ปี เมื่อคำสั่งอนุมัติประเมินภาษีมูลค่าเพิ่มตามประมวลรัษฎากร มาตรา ๘๘/๖ วรรคท้าย ลงนามโดยนักวิชาการภาษีชำนาญการพิเศษ รักษาการในตำแหน่งนักวิชาการสรรพากรเชี่ยวชาญปฏิบัติราชการแทนอธิบดีกรมสรรพากร ลงวันที่ ๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐ แม้จะเกิน ๒ ปี นับแต่วันสุดท้ายแห่งกำหนดเวลายื่นแบบแสดงรายการภาษี แต่เมื่อมีการอนุมัติและโจทก์ได้รับหนังสือแจ้งการประเมินภาษีมูลค่าเพิ่มเมื่อวันที่ ๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐ ภายใน ๕ ปี นับแต่วันสุดท้ายแห่งกำหนดเวลายื่นแบบแสดงรายการภาษี การประเมินของเจ้าพนักงานจึงชอบด้วยบทบัญญัติดังกล่าวแล้ว ฎีกาของโจทก์ประการที่สามว่า หนังสือแจ้งการประเมินภาษีมูลค่าเพิ่มและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า ผู้มีสิทธิออกใบกำกับภาษีได้นอกจากต้องเป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว ยังต้องปรากฏด้วยว่าผู้ประกอบการนั้นได้ขายสินค้าหรือให้บริการและได้ชำระราคาสินค้าหรือให้บริการนั้นจริง หาใช่ว่าใบกำกับภาษีที่ออกโดยผู้ประกอบการจดทะเบียนจะเป็นใบกำกับภาษีที่ชอบด้วยกฎหมายทุกกรณีไม่ เมื่อโจทก์เป็นฝ่ายกล่าวอ้างว่าได้ทำการซื้อและนำใบกำกับภาษีซื้อไปใช้เครดิตภาษีหรือขอคืนภาษี ภาระการพิสูจน์ว่าใบกำกับภาษีซื้อออกโดยถูกต้องแท้จริงและชอบด้วยกฎหมายจึงตกอยู่แก่โจทก์ แต่โจทก์ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่ามีการซื้อขายและส่งมอบสินค้าพร้อมทั้งชำระราคาตามใบกำกับภาษีซื้อพิพาทจริง ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่า ใบกำกับภาษีซื้อพิพาทที่ออกโดยบริษัท ซ. บริษัท ว. และบริษัท ส. เป็นใบกำกับภาษีที่ออกโดยผู้ไม่มีสิทธิออกใบกำกับภาษี โจทก์จึงไม่มีสิทธินำภาษีซื้อตามใบกำกับภาษีพิพาทมาหักในการคำนวณภาษีตามประมวลรัษฎากร มาตรา ๘๒/๕ (๕) การประเมินของเจ้าพนักงานและคำวินิจฉัยอุทธรณ์จึงชอบด้วยกฎหมาย ฎีกาของโจทก์ในประการสุดท้ายว่า มีเหตุสมควรลดหรืองดเบี้ยปรับหรือไม่ เห็นว่า การที่โจทก์นำใบกำกับภาษีซึ่งออกโดยไม่ชอบมาใช้ในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่ม แสดงให้เห็นว่า โจทก์มีพฤติการณ์ไม่สุจริต จึงไม่มีเหตุสมควรงดหรือลดเบี้ยปรับให้แก่โจทก์ ฎีกาของโจทก์ไม่เป็นปัญหาที่เกี่ยวพันกับประโยชน์สาธารณะ หรือความสงบเรียบร้อยของประชาชน และไม่เป็นกรณีที่คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษได้วินิจฉัยข้อกฎหมายที่สำคัญขัดกันหรือขัดกับแนวบรรทัดฐานของคำพิพากษาของศาลฎีกา อันไม่เป็นปัญหาสำคัญที่ศาลฎีกาควรวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๔๙ วรรคสอง (๑) และ (๒) ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. ๒๕๒๘ มาตรา ๒๖ 

เผยแพร่โดย

แผนกภาษีอากรในศาลฎีกา

วันที่เผยแพร่
17/07/2566
เข้าดู
6
Share