ครพ.ภษ. 8663/2563
โจทก์เป็นผู้ได้รับอนุญาตให้ดำเนินการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่จากบริษัท ท. โดยโจทก์ต้องจ่ายผลประโยชน์ตอบแทนให้แก่บริษัท ท. ตามสัญญาให้ดำเนินการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ ต่อมารัฐบาลให้มีการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตจากกิจการให้บริการโทรคมนาคมส่งผลให้โจทก์ผู้ได้รับสัมปทานจากรัฐมีหน้าที่ต้องเสียภาษีสรรพสามิตแล้วคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแนวทางการดำเนินการหักค่าภาษีสรรพสามิตออกจากส่วนแบ่งรายได้ที่คู่สัญญาจะต้องนำส่งให้คู่สัญญาภาครัฐ การจ่ายผลประโยชน์ตอบแทนให้แก่คู่สัญญาภาครัฐ คู่สัญญาภาคเอกชนจะต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขร่วมการงานด้านกิจการโทรคมนาคม ส่วนการชำระภาษีสรรพสามิตให้คู่สัญญาภาคเอกชนดำเนินการตามพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2527 (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2546 และพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2527 พ.ศ. 2546 ซึ่งบริษัท ท. มีหนังสือลงวันที่ 10 มีนาคม 2546 แจ้งโจทก์ว่าโจทก์ปฏิบัติถูกต้องตามมติคณะรัฐมนตรีและโจทก์มีภาระเท่าเดิมตามอัตราร้อยละที่กำหนดในสัญญา ซึ่งการชำระภาษีสรรพสามิตของโจทก์ดังกล่าวไม่มีผลกระทบต่อข้อสัญญาแต่ประการใด ข้อเท็จจริงดังกล่าวแสดงถึงโจทก์ยังคงต้องชำระผลประโยชน์ตอบแทนเต็มจำนวนตามสัญญา และรายได้ที่คู่สัญญาฝ่ายรัฐได้รับคือจำนวนตามสัญญาเดิมเนื่องจากไม่ปรากฏว่ามีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงสัญญาเข้าลักษณะเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 39 แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งหมายความว่า เงินได้อันเข้าลักษณะพึงเสียภาษีในหมวดนี้ เงินได้ที่กล่าวนี้ให้หมายความรวมตลอดถึงทรัพย์สิน หรือประโยชน์อย่างอื่นที่ได้รับซึ่งอาจคิดคำนวณได้เป็นเงินฯ การคืนภาษีสรรพสามิตเป็นขั้นตอนภายหลังรับผลประโยชน์เต็มจำนวนแล้ว โจทก์จึงมีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายจากเงินได้ที่คู่สัญญาฝ่ายรัฐได้รับเต็มจำนวนดังกล่าว แม้การบันทึกงบการเงินของโจทก์จะสอดคล้องกับงบการเงินของบริษัท ท. และงบการเงินของโจทก์และบริษัท ท. จะได้รับการตรวจสอบรับรองแล้ว แต่การตรวจสอบดังกล่าวเป็นเพียงการรับรองว่า ถูกต้องตามหลักบัญชีทั่วไปและมาตรฐานการบัญชี หาใช่เป็นการยืนยันว่าเป็นกรณีเสียภาษีอากรถูกต้องโดยการเสียภาษีต้องปรับเข้ากับประมวลรัษฎากรและกฎหมายภาษีอากรต่าง ๆ ให้สอดคล้องกัน ส่วนคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการและคำพิพากษาศาลปกครองตามที่โจทก์อ้างนั้นไม่ใช่ประเด็นการต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย ตามมาตรา 3 เตรส แห่งประมวลรัษฎากรโดยตรงจึงไม่ผูกพันคู่ความ หนังสือแจ้งให้นำส่งภาษีเงินได้นิติบุคคลหัก ณ ที่จ่ายและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ จึงชอบแล้ว ตามแนวคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2374/2561 เมื่อเจ้าพนักงานประเมินของจำเลยที่ ๑ ประเมินภาษีแก่โจทก์หากรายการใดที่โจทก์ไม่เห็นด้วยกับการประเมินแล้ว โจทก์มีสิทธิอุทธรณ์การประเมินต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ตามมาตรา 70 แห่งประมวลรัษฎากร แต่ตามคำอุทธรณ์ของโจทก์มิได้ขอให้ลดหรืองดเงินเพิ่มตามมาตรา 27 แห่งประมวลรัษฎากร โจทก์จึงไม่มีสิทธินำรายการนี้มาฟ้องต่อศาล ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. 2528 มาตรา 8 และตามแนวคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2374/2561 ฎีกาของโจทก์จึงไม่เป็นปัญหาสำคัญที่ศาลฎีกาควรวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคสอง (2) (3) และ (5) ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดี
ภาษีอากร พ.ศ. 2528 มาตรา 26
ครพ.ภษ. 6848/2564
เงินได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ดังกล่าวเป็นเงินได้พึงประเมินตามประมวลรัษฎากร มาตรา 40 (8) โจทก์ผู้ซื้อทรัพย์ซึ่งเป็นผู้จ่ายเงินได้พึงประเมินมีหน้าที่หักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายตาม มาตรา 50 (5) (ข) และนำส่งต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ผู้รับจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมในขณะที่มีการจดทะเบียนตาม มาตรา 52 วรรคสอง เมื่อไม่ปรากฏว่าโจทก์หักภาษี ณ ที่จ่ายและนำส่งต่อเจ้าพนักงานที่ดินเป็นจำนวนเงินเกินกว่าที่ควรต้องเสียตาม มาตรา 27 ตรี โจทก์จึงไม่มีสิทธิขอคืนภาษีอากรตามที่โจทก์อ้าง ฎีกาของโจทก์ไม่อาจมีผลเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญในคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ จึงไม่เป็นกรณีที่คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษได้วินิจฉัยข้อกฎหมายที่สำคัญขัดกันหรือขัดกับแนวบรรทัดฐานของคำพิพากษาของศาลฎีกา และไม่เป็นปัญหาสำคัญที่ศาลฎีกาควรวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. 2528 มาตรา 26