ครพ.ภษ. 4965/2564
เจ้าพนักงานประเมินมีอำนาจประเมินภาษีโดยวิธีพิเศษตามประมวลรัษฎากร มาตรา 71 (1) ได้ เมื่อมีกรณีใดกรณีหนึ่งดังนี้ 1. ไม่ยื่นรายการซึ่งจำเป็นต้องใช้ในการคำนวณภาษีตามที่ประมวลรัษฎากรกำหนด หรือ 2. ไม่ทำบัญชีหรือทำไม่ครบตามที่กำหนดไว้ในมาตรา 17 และมาตรา 68 ทวิ หรือ 3. ไม่นำบัญชี เอกสาร หรือหลักฐานอื่นมาให้เจ้าพนักงานประเมินทำการไต่สวนตามมาตรา 19 หรือมาตรา 23 สำหรับกรณีของโจทก์ได้ความว่า ก่อนออกหนังสือแจ้งภาษีเงินได้นิติบุคคล เจ้าพนักงานประเมิน เปรียบเทียบรายได้ที่โจทก์ยื่นสำหรับภาษีเงินได้นิติบุคคลตามแบบ ภ.ง.ด. 50 กับยอดขายสำหรับภาษีมูลค่าเพิ่มตามแบบ ภ.พ. 30 เห็นว่ามีผลต่างกันอยู่มาก จึงได้ออกหนังสือฉบับลงวันที่ 15 พฤษภาคม 2556 หมายเรียกให้โจทก์ไปพบและนำงบแสดงฐานะการเงิน บัญชี หลักฐานเอกสารประกอบการลงบัญชีและเอกสารหลักฐานต่าง ๆ ประกอบการพิจารณาสำหรับรอบระยะเวลาบัญชีวันที่ 1 มกราคม 2553ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2553 และรอบระยะเวลาบัญชีวันที่ 1 มกราคม 2554 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2554 มาแสดงต่อเจ้าพนักงานประเมิน โจทก์ส่งมอบเอกสารเพียงบางส่วน นอกจากนี้ยังได้ความว่าใบสำคัญจ่ายจำนวน 463 ชุด ที่โจทก์นำส่งเจ้าพนักงานประเมินเพื่อตรวจสอบ คิดเป็นค่าใช้จ่ายที่สามารถหักเป็นรายจ่ายได้ในรอบระยะเวลาบัญชีปี 2553 เพียง 11,144,630.39 บาท และปี 2554 เพียง 34,609,567.88 บาท ซึ่งเมื่อนำมาเปรียบเทียบกับรายจ่ายตามแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล (ภ.ง.ด. 50) ที่โจทก์ยื่นในรอบระยะเวลาบัญชีปี 2553 พบว่า โจทก์แสดงรายการรายจ่าย 98,999,507 บาท เหลือรายจ่ายที่ไม่มีใบสำคัญจ่าย 87,854,876.61 บาท ส่วนในรอบระยเวลาบัญชีปี 2554 โจทก์แสดงรายการรายจ่าย 98,172,743 บาท เหลือรายจ่ายที่ไม่มีใบสำคัญจ่าย 63,563,173.12 บาท ซึ่งถือเป็นจำนวนที่แตกต่างกันมาก เมื่อประมวลรัษฎากร มาตรา 65 บัญญัติให้เงินได้ที่ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล คือ กำไรสุทธิซึ่งคำนวณได้จากรายได้จากกิจการ หรือเนื่องจากกิจการที่กระทำในรอบระยะเวลาบัญชีหักด้วยรายจ่ายตามเงื่อนไขที่ระบุไว้ในมาตรา 65 ทวิ และมาตรา 65 ตรี โดยประมวลรัษฎากร มาตรา 65 ตรี บัญญัติถึงรายการต่าง ๆ ที่ไม่ให้ถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิ โจทก์จึงต้องแสดงบัญชี เอกสาร หรือหลักฐานอื่นเพียงพอให้เจ้าพนักงานประเมินรู้ว่าโจทก์มีรายได้และรายจ่ายทั้งหมดในรอบระยะเวลาบัญชีพิพาทเท่าใดและแสดงให้รู้ว่ารายจ่ายที่โจทก์จะนำมาหักออกจากรายได้ของโจทก์จะต้องไม่เป็นรายจ่ายต้องห้ามตามประมวลรัษฎากร มาตรา 65 ตรี ด้วย เมื่อเอกสารที่โจทก์นำส่งต่อเจ้าพนักงานประเมิน สามารถคำนวณเป็นรายจ่ายในรอบระยะเวลาบัญชีปี 2553 คิดเป็นเพียงร้อยละ 11.26 และในรอบระยะเวลาบัญชีปี 2554 คิดเป็นเพียงร้อยละ 35.25 ของรายจ่ายทั้งหมดที่โจทก์นำมาหักในการคำนวณกำไรสุทธิหรือขาดทุนสุทธิของรอบระยะเวลาบัญชีที่พิพาท อีกทั้งการที่โจทก์ได้ส่งมอบเอกสารอื่น ๆ ตามหมายเรียกก็เป็นเพียงบางส่วน ซึ่งไม่เพียงพอที่เจ้าพนักงานประเมินจะใช้คำนวณกำไรสุทธิหรือขาดทุนสุทธิทั้งสองรอบระยะเวลาบัญชีพิพาทได้อย่างถูกต้อง
ภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นภาษีคนละประเภทกับภาษีเงินได้นิติบุคคล คดีนี้โจทก์ไม่สามารถพิสูจน์ให้เจ้าพนักงานประเมินเห็นว่าภาษีซื้อตามเอกสารดังกล่าวไม่เป็นรายจ่ายต้องห้ามที่มิให้นำมาคำนวณหักออกจากรายได้ในการคำนวณกำไรสุทธิหรือขาดทุนสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 65 ตรี ประกอบกับใบกำกับภาษีซื้อและรายงานภาษีซื้อที่โจทก์ยื่นให้เจ้าพนักงานประเมิน มีเพียงบางเดือนภาษีและเป็นเพียงบางส่วน จึงไม่เพียงพอที่จะคำนวณรายจ่ายทั้งหมดในสองรอบระยะเวลาบัญชีพิพาทได้ จากเหตุผลที่ได้วินิจฉัยมาข้างต้น กรณีจึงมีเหตุที่เจ้าพนักงานประเมินจะประเมินให้โจทก์เสียภาษีเงินได้นิติบุคคลในอัตราร้อยละ 5 ของยอดรายรับก่อนหักรายจ่ายใด ๆ หรือยอดขายก่อนหักรายจ่ายใด ๆ แล้วแต่อย่างใดจะมากกว่าสำหรับทั้งสองรอบระยะเวลาบัญชีพิพาทตามประมวลรัษฎากร มาตรา 71 (1)
เจ้าพนักงานประเมินให้เวลาโจทก์ในการยื่นเอกสารตั้งแต่ชั้นตรวจสอบไต่สวนถึงชั้นประเมินภาษีเป็นเวลาเกือบสองปีถือว่าเป็นระยะเวลาเพียงพอและได้ให้ความเป็นธรรมแก่โจทก์แล้ว ข้ออ้างอื่นของโจทก์ตามที่ฎีกามาไม่มีเหตุที่จะงดหรือลดเงินเพิ่มแก่โจทก์ฎีกาของโจทก์จึงไม่เป็นปัญหาที่เกี่ยวพันกับประโยชน์สาธารณะหรือความสงบเรียบร้อยของประชาชนตามที่โจทก์อ้าง และไม่เป็นปัญหาสำคัญที่ศาลฎีกาควรวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. 2528 มาตรา 26