ภาษีศุลกากร : หนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า

ครพ.ภษ.6560/2565

        ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ฎีกาของจำเลยในประเด็นที่ว่า โจทก์ได้รับสิทธิยกเว้นอากรโดยอาศัยหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า (Form D) ฉบับที่สอง ลงวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ หรือไม่ เห็นว่า การที่เจ้าหน้าที่ของจำเลยตรวจสอบแล้วพบว่า หนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า (Form D) เลขที่ KL - ๔๓๕๘๓๒T - ๒๓๑๒๑๕ ลงวันที่ ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ ตามเอกสารหมาย ล.๔ แผ่นที่ ๒๑ ที่ระบุเลขที่บัญชีราคาสินค้า (Invoice) เป็นหมายเลข ๕๐๐๑๔๕๗๕ ซึ่งไม่ตรงกับเลขที่บัญชีราคาสินค้า (Invoice) ที่ระบุไว้ในใบขนสินค้าขาเข้า ตามเอกสารหมาย ล.๒ แผ่นที่ ๒๖๘ ต่อมาโจทก์ยื่นหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า (Form D) ฉบับใหม่ลงวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ เจ้าหน้าที่ของจำเลยจึงมีหนังสือสอบถามไปยังหน่วยงานที่มีอำนาจในการออกหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า (Form D) ของสหพันธรัฐมาเลเซียเพื่อตรวจสอบความถูกต้องของหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า (Form D) เมื่อวันที่ ๒๗ มีนาคม ๒๕๕๖ และวันที่ ๙ กันยายน ๒๕๕๖ ซึ่งหน่วยงานที่มีอำนาจในการออกหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าของสหพันธรัฐมาเลเซียมีหนังสือตอบกลับมา ๒ ฉบับ คือ ฉบับแรกลงวันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๖ แจ้งว่าบริษัทผู้ส่งออกสินค้าได้แก้ไขข้อมูลโดยมิได้ดำเนินการโดยหน่วยงานผู้มีอำนาจออกหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าของสหพันธรัฐมาเลเซีย และฉบับที่สองลงวันที่ ๒๓ ตุลาคม ๒๕๕๗ แจ้งว่าหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า (Form D) ที่โจทก์ยื่นเป็นเอกสารแท้จริง และออกโดยกระทรวงการค้าระหว่างประเทศและอุตสาหกรรมของสหพันธรัฐมาเลเซีย แต่มีความผิดพลาดในการระบุเลขที่บัญชีราคาสินค้า (Invoice) จึงออกหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า (Form D) ลงวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ (ที่ถูก ๒๕๕๔) ใช้แทนหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า (Form D) ลงวันที่ ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ (ที่ถูก ๒๕๕๔) แสดงให้เห็นว่า หน่วยงานผู้มีอำนาจออกหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าของสหพันธรัฐมาเลเซียยืนยันว่าหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า (Form D) เลขที่ KL - ๔๓๕๘๓๒T - ๒๓๑๒๑๕ ลงวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ เป็นเอกสารที่ถูกต้องและสามารถใช้แทนที่หนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า (Form D) เลขที่ KL - ๔๓๕๘๓๒T - ๒๓๑๒๑๕ ลงวันที่ ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ ได้ ดังนั้น หากเจ้าหน้าที่ของจำเลยพิจารณาแล้วยังมีความสงสัยเกี่ยวกับความถูกต้องแท้จริงหรือความถูกต้องของข้อมูลในเอกสารก็สามารถที่จะมีหนังสือสอบถามไปยังหน่วยงานผู้มีอำนาจออกหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าของสหพันธรัฐมาเลเซีย ซึ่งเป็นผู้ตอบกลับหนังสือสอบถามของจำเลยดังเช่นที่จำเลยเคยปฏิบัติตามกฎข้อ ๑๘ แต่จำเลยหาได้กระทำการเพื่อให้ได้ความกระจ่างในความสงสัยดังกล่าวไม่ นอกจากนี้ กฎข้อ ๑๘ ดังกล่าว ไม่ได้ระบุว่าหากหน่วยงานผู้มีอำนาจออกหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าของประเทศสมาชิกผู้ส่งออกไม่ปฏิบัติตามระยะเวลาในการตรวจสอบและแจ้งผลตามที่กำหนดไว้ หรือทำการตรวจสอบย้อนหลังเกินกว่าระยะเวลา ๖ เดือน นับแต่วันที่ของการส่งออกที่ได้ระบุไว้จะมีผลเป็นการตัดสิทธิพิเศษทางภาษีของผู้นำเข้าภายใต้ความตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน และหากระเบียบปฏิบัติดังกล่าวมีวัตถุประสงค์ที่จะตัดสิทธิพิเศษทางภาษีดังกล่าวย่อมจะต้องระบุไว้ให้ชัดเจนเพื่อเป็นมาตรฐานที่ถือปฏิบัติของประเทศสมาชิกโดยทั่วกัน มิใช่จะมีผลตามดุลพินิจของประเทศสมาชิกแต่ละประเทศตามที่จำเลยอ้าง ดังนั้น ลำพังเพียงแต่หน่วยงานผู้มีอำนาจออกหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าของประเทศผู้ส่งออกไม่ปฏิบัติตามระยะเวลาตามที่ระบุไว้ในกฎข้อ ๑๘ หามีผลทำให้หนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าที่ถูกต้องเป็นหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าที่ไม่ถูกต้องแต่อย่างใด  ตามกฎข้อ ๑๓ วรรคสาม ของภาคผนวก ๘ ท้ายประกาศกรมศุลกากร ที่ ๙๙/๒๕๕๓ เรื่อง หลักเกณฑ์และพิธีการการยกเว้นอากรและลดอัตราอากรศุลกากรสำหรับของที่มีถิ่นกำเนิดจากอาเซียน ลงวันที่ ๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ ตามเอกสารหมาย ล.๔ แผ่นที่ ๑๑๘ และ ๑๑๙ ระบุว่า “ในกรณีที่หนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า (ฟอร์ม ดี) ไม่ได้รับการยอมรับตามที่กล่าวข้างต้น ประเทศสมาชิกผู้นำเข้าควรยอมรับและพิจารณาคำอธิบายจากหน่วยงานผู้มีอำนาจออกหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า และพิจารณาอีกครั้งว่า ฟอร์ม ดี ดังกล่าวสามารถใช้เพื่อรับสิทธิพิเศษได้หรือไม่ คำอธิบายนั้นควรมีรายละเอียดครบถ้วนซึ่งเกี่ยวข้องกับสาเหตุของการปฏิเสธการให้สิทธิพิเศษโดยประเทศสมาชิกผู้นำเข้า” ซึ่งกฎข้อ ๑๓ วรรคสาม มีวัตถุประสงค์เพื่อที่ให้หน่วยงานผู้มีอำนาจออกหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าอธิบายข้อสงสัยที่ประเทศสมาชิกผู้นำเข้าถือเป็นสาเหตุของการปฏิเสธการให้สิทธิพิเศษ ดังนั้น เมื่อหนังสือตอบกลับฉบับที่สอง ลงวันที่ ๒๓ ตุลาคม ๒๕๕๗ ตามเอกสารหมาย ล.๒ แผ่นที่ ๒๑๗ พร้อมคำแปลเอกสารหมาย ล.๔ แผ่นที่ ๑๖๖ ยืนยันว่าหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าตามที่โจทก์นำมาแสดงแก่เจ้าหน้าที่ของจำเลยเป็นเอกสารแท้จริงและออกโดยกระทรวงการค้าระหว่างประเทศและอุตสาหกรรมของสหพันธรัฐมาเลเซียให้แก่ผู้ขายสินค้าให้โจทก์ และหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าฉบับที่สองได้แทนที่หนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าฉบับแรก จึงเชื่อได้ว่าหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าฉบับที่สองเป็นเอกสารที่แท้จริงและลงนามโดยผู้มีอำนาจลงนาม และหน่วยงานผู้มีอำนาจออกหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าได้ทำการตรวจสอบหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าย้อนหลังตามกฎข้อ ๑๘ ของภาคผนวก ๘ ท้ายประกาศกรมศุลกากรฉบับดังกล่าวโดยยืนยันถึงความแท้จริงของหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าดังกล่าวแล้ว ส่วนที่จำเลยอ้างข้อสรุปการประชุมคณะทำงานกฎว่าด้วยถิ่นกำเนิดสินค้า ครั้งที่ ๒๘ ตามเอกสารหมาย ล.๔ แผ่นที่ ๗๕ ที่ระบุเป็นข้อแนะนำว่าควรออกหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าฉบับใหม่ด้วยหมายเลขอ้างอิงใหม่ นั้น เห็นว่า ข้อแนะนำดังกล่าวหาใช่เป็นบทบังคับว่าหากไม่ปฏิบัติตามจะทำให้หนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าไม่สมบูรณ์  ทั้งตามกฎข้อ ๗ วรรคสาม และกฎข้อ ๙ ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อกำหนดรูปแบบของหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า (ฟอร์ม ดี) และวิธีปฏิบัติเนื่องจากการสำแดงผิดพลาดในหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า ก็มิได้กำหนดว่าเมื่อมีการออกหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าฉบับใหม่แทนฉบับเดิมที่มีข้อผิดพลาดจะต้องใช้เลขที่อ้างอิงใหม่ ดังนั้น เมื่อหน่วยงานผู้มีอำนาจออกหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าของสหพันธรัฐมาเลเซียยืนยันว่าหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าที่โจทก์นำมายื่นประกอบการขอรับสิทธิประโยชน์ยกเว้นอากรศุลกากรสำหรับสินค้าที่โจทก์นำเข้าดังกล่าวเป็นหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าที่แท้จริง แม้หนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าทั้ง ๒ ฉบับ จะมีเลขที่อ้างอิงเดียวกันก็มิได้ทำให้หนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าดังกล่าวไม่สมบูรณ์ และไม่มีผลทำให้โจทก์เสียสิทธิประโยชน์ยกเว้นอากรศุลกากรสำหรับสินค้าที่โจทก์นำเข้าแต่อย่างใด การประเมินอากรขาเข้าและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์จึงไม่ชอบ ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น เมื่อวินิจฉัยดังนี้แล้ว กรณีไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาข้ออื่นของจำเลยเพราะไม่ทำให้ผลแห่งคดีเปลี่ยนแปลงไป ฎีกาของจำเลยจึงไม่เป็นกรณีที่คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษได้วินิจฉัยข้อกฎหมายสำคัญที่ไม่สอดคล้องกับความตกลงระหว่างประเทศที่มีผลผูกพันกับประเทศไทย ทั้งเมื่อพิจารณาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายแล้วไม่อาจมีผลเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญในคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ อันไม่เป็นปัญหาสำคัญที่ศาลฎีกาควรวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๔๙ วรรคสอง (๖) และข้อกำหนดของประธานศาลฎีกา ว่าด้วยการขออนุญาตฎีกาในคดีแพ่ง พ.ศ. ๒๕๕๘ ข้อ ๑๓ (๒) ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. ๒๕๒๘ มาตรา ๒๖ 

ครพ.ภษ.6450/2566

          ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ปัญหาตามฎีกาของโจทก์ประการแรกมีว่า การประเมินของพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ ๑ และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า ประกากระทรวงการคลัง เรื่อง การยกเว้นอากรและลดอัตราอากรศุลกากรสำหรับเขตการค้าเสรีอาเซียน-จีน ลงวันที่ ๖ มกราคม ๒๕๕๕ ข้อ ๓ กำหนดให้การยกเว้นอากรและลดอัตราอากรของตามบัญชีอัตราอากร ๑ ที่มีราคา เอฟ โอ บี เกินสองร้อยดอลลาร์สหรัฐเป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่ผู้นำของเข้าต้องแสดงหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า (Form E) ที่ออกตามกฎว่าด้วยถิ่นกำเนิดสินค้าสำหรับเขตการค้าเสรีอาเซียน-จีน (Rules of Origin for the ASEAN-China Free Trade Area) และข้อกำหนดเพิ่มเติมที่ออกตามความในกฎดังกล่าว และข้อ ๔ กำหนดว่า ผู้นำของเข้าต้องปฏิบัติตามระเบียบพิธีการที่กรมศุลกากรกำหนด ซึ่งจำเลยที่ ๑ ได้ออกประกาศกรมศุลกากรที่ ๓/๒๕๕๕ เรื่อง หลักเกณฑ์และพิธีการการยกเว้นอากรและลดอัตราอากรศุลกากรสำหรับเขตการค้าเสรีอาเซียน-จีน ประกาศ ณ วันที่ ๖ มกราคม ๒๕๕๕ โดย ข้อ ๒ (๙) ระบุว่า หนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า (Form E) ต้องเป็นไปตามเงื่อนไขและเกณฑ์การได้ถิ่นกำเนิดสินค้า โดยให้ระบุเกณฑ์ถิ่นกำเนิดสินค้าในช่องที่ ๘ ดังนี้ การสำแดงเกณฑ์ถิ่นกำเนิดสินค้า “WO” หมายถึง สินค้าที่ได้มาทั้งหมดหรือมีการผลิตขึ้นโดยใช้วัตถุดิบในประเทศภาคีผู้ส่งออกทั้งหมด (Wholly Obtained Products) ตามกฎข้อ ๓ ของกฎว่าด้วยถิ่นกำเนิดสินค้า เมื่อหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าพิพาท ระบุเกณฑ์ถิ่นกำเนิดสินค้าในช่องที่ ๘ ว่า “WO” ซึ่งหมายถึง สินค้าที่ได้มาทั้งหมด หรือมีการผลิตขึ้นโดยใช้วัตถุดิบในสาธารณรัฐประชาชนจีน ผู้ส่งออกทั้งหมด แต่กลับปรากฏว่าระบบขับหมุนถังผสมคอนกรีตของสินค้าพิพาทกลับมีถิ่นกำเนิดจากสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี กรณีจึงไม่ใช่สินค้าที่ได้มาทั้งหมดหรือมีการผลิตขึ้นโดยใช้วัตถุดิบในประเทศภาคีผู้ส่งออกทั้งหมดที่จะได้รับสิทธิยกเว้นอากรหรือลดอัตราอากร ตามประกาศกระทรวงการคลังและประกาศกรมศุลกากรฉบับดังกล่าว พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ ๑ จึงมีสิทธิปฏิเสธหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าพิพาทได้ มีปัญหาที่ต้องพิจารณาต่อมาว่า สินค้าพิพาทได้รับสิทธิยกเว้นอากรหรือลดอัตราอากรกรณีใช้เกณฑ์การคำนวณสัดส่วนมูลค่าวัตถุดิบที่เกิดขึ้นในเอซีเอฟทีเอไม่น้อยกว่าร้อยละ ๔๐ ของมูลค่า เอฟ.โอ.บี. ตามประกาศกรมศุลกากรที่ ๓/๒๕๕๕ เรื่อง หลักเกณฑ์และพิธีการการยกเว้นอากรและลดอัตราอากรศุลกากรสำหรับเขตการค้าเสรีอาเซียน-จีน ข้อ ๒ (๑๐) (๑๐.๒) หรือไม่ เมื่อหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าระบุเกณฑ์ถิ่นกำเนิดสินค้าว่า WO แต่พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ ๑ ตรวจพบว่า ระบบขับหมุนถังผสมคอนกรีตในรถผสมคอนกรีตพิพาทผลิตในสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี จำเลยที่ ๑ ย่อมร้องขอให้มีการตรวจสอบหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าย้อนหลังโดยการสุ่ม และ/หรือเมื่อมีเหตุอันควรสงสัยเกี่ยวกับความถูกต้องแท้จริงของเอกสารหรือถิ่นกำเนิดที่แท้จริงของสินค้าหรือบางส่วนของสินค้าพิพาทนั้นได้ ตามกฎข้อ ๑๘ ของระเบียบปฏิบัติเกี่ยวกับหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าสำหรับกฎว่าด้วยถิ่นกำเนิดสินค้าของความตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน-จีน จำเลยที่ ๑ มีหนังสือสอบถามไปยังสำนักงานด้านกฎว่าด้วยถิ่นกำเนิดสินค้า บริหารทั่วไปของกรมศุลกากร สาธารณรัฐประชาชนจีนเมื่อวันที่ ๒๓ พฤษภาคม ๒๕๕๙ เพื่อขอให้ตรวจสอบเกณฑ์ถิ่นกำเนิดสินค้าที่ระบุเป็น WO และส่งเอกสารที่ผู้ส่งออกได้ยื่นต่อหน่วยงานเพื่อตรวจพิสูจน์การได้ถิ่นกำเนิดสินค้ามาด้วย และขอให้แจ้งผลการพิจารณาภายในวันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๕๙ ตามหนังสือสอบถามพร้อมคำแปล และวันที่ ๑๒ ตุลาคม ๒๕๕๙ จำเลยที่ ๑ มีหนังสือติดตามและขอให้ชี้แจงภายในวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๙ ตามหนังสือติดตามพร้อมคำแปล Shenzhen Office of Rules of Origin, GAAC OF THE P.R. CHINA  (สำนักงานกฎว่าด้วยถิ่นกำเนิดสินค้า เซินเจิ้น บริหารงานทั่วไปของศุลกากร สาธารณรัฐประชาชนจีน)  มีหนังสือตอบกลับฉบับลงวันที่ ๙ ธันวาคม ๒๕๕๙ แจ้งว่า หนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าพิพาทออกโดย Anhui Entry-Exit Inspection and Quarantine Bureau (สำนักงานตรวจสอบการเข้า ออกเมืองและกักกัน อานฮุย) เมื่อตรวจสอบแล้ว ผลการคำนวณมูลค่าของวัตถุดิบที่เกิดขึ้นในประเทศอยู่ที่ร้อยละ ๘๒ ของราคา เอฟ.โอ.บี. สำหรับสินค้ารถผสมคอนกรีต แต่เนื่องจากผู้ที่ร้องขอหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าได้สำแดงเกณฑ์ถิ่นกำเนิดผิดเป็น WO จึงทำให้ผลลัพธ์ที่ได้ผิดพลาดและเจ้าหน้าที่ได้ออกหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าที่ไม่ถูกต้อง ตามหนังสือตอบกลับพร้อมคำแปล และวันที่ ๒๖ มกราคม ๒๕๖๐ Shenzhen Office of Rules of Origin, GAAC OF THE P.R. CHINA มีหนังสือแจ้งผลการตรวจสอบความถูกต้องแท้จริงของหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าพิพาทว่า บริษัทผู้ส่งออกแจ้งข้อมูลการได้ถิ่นกำเนิดสินค้าผิดพลาด สินค้าดังกล่าวมีวัตถุดิบที่มาจากสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีและวัตถุดิบที่ไม่ได้ถิ่นกำเนิดคิดเป็นร้อยละ ๑๘ ดังนั้น เกณฑ์ถิ่นกำเนิดที่สำแดงในช่องที่ ๘ จะต้องเป็นร้อยละ ๘๒ ต่อมาวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐ จำเลยที่ ๑ มีหนังสือไปยัง Shenzhen Office of Rules of Origin, GAAC OF THE P.R. CHINA เพื่อขอให้จัดส่งเอกสารที่ผู้ส่งออกได้ยื่นต่อหน่วยงานเพื่อตรวจพิสูจน์การได้ถิ่นกำเนิดสินค้า ได้แก่ แหล่งที่มาของวัตถุดิบ ราคาของวัตถุดิบ วิธีการคำนวณ RVC (Regional Value Content) สำหรับสินค้าพิพาท โดยขอให้แจ้งผลการพิจารณาภายในวันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๖๐ ตามหนังสือร้องขอพร้อมคำแปล แต่ยังไม่ได้รับคำตอบ วันที่ ๒๗ สิงหาคม ๒๕๖๑ จำเลยที่ ๑ จึงมีหนังสือสอบถามไปยัง Shenzhen Office of Rules of Origin, GAAC OF THE P.R. CHINA เพื่อขอให้ส่งเอกสารที่ผู้ส่งออกได้ยื่นต่อหน่วยงานเพื่อตรวจสอบการได้ถิ่นกำเนิดสินค้าโดยขอให้แจ้งผลการพิจารณาภายในวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ ตามหนังสือร้องขอพร้อมคำแปล และวันที่ ๑๔ ธันวาคม ๒๕๖๑ จำเลยที่ ๑ มีหนังสือติดตามและขอให้ชี้แจงภายในวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒ มิฉะนั้น จำเลยที่ ๑ จะปฏิเสธการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี ตามหนังสือติดตามพร้อมคำแปล ซึ่งการส่งหนังสือร้องขอสำหรับการตรวจสอบหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าของจำเลยที่ ๑ นั้น ได้ความจากนางรตนพร ศุภโรจน์ นักวิชาการศุลกากรชำนาญการของจำเลยที่ ๑ ว่า ในการส่งเอกสารต่าง ๆ จากจำเลยที่ ๑ ไปยังหน่วยงานในการออกหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าของสาธารณรัฐประชาชนจีนจะต้องเป็นไปตามข้อตกลงซึ่งจะต้องส่งไปยังสำนักงานใหญ่หรือศูนย์กลางของประเทศนั้น ๆ ที่มีการแจ้งไว้ ซึ่งในการส่งหนังสือฉบับลงวันที่ ๒๓ พฤษภาคม ๒๕๕๙ และวันที่ ๑๒ ตุลาคม ๒๕๕๙ จำเลยที่ ๑ ได้ส่งไปถึงรองผู้อำนวยการสำนักงานด้านกฎว่าด้วยถิ่นกำเนิดสินค้า บริหารทั่วไปของกรมศุลกากร สาธารณรัฐประชาชนจีน ขอให้ตรวจสอบหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าพิพาท หลังจากนั้น Shenzhen Office of Rules of Origin, GAAC OF THE P.R. CHINA มีหนังสือตอบกลับมาว่า บริษัทผู้ส่งออกแจ้งข้อมูลการได้ถิ่นกำเนิดของสินค้าผิดพลาดเป็น WO จึงทำให้ผลลัพธ์ที่ได้ผิดพลาดและเจ้าหน้าที่ได้ออกหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าที่ไม่ถูกต้อง และยังมีหนังสือแจ้งผลการตรวจสอบเกี่ยวกับสัดส่วนถิ่นกำเนิดของวัตถุดิบ ถือได้ว่าเป็นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการออกหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าพิพาท การที่จำเลยที่ ๑ มีหนังสือขอเอกสารที่ผู้ส่งออกได้ยื่นไว้เพื่อตรวจพิสูจน์การได้ถิ่นกำเนิดสินค้ากลับไปยัง Shenzhen Office of Rules of Origin, GAAC OF THE P.R. CHINA ถือได้ว่าเป็นการร้องขอไปยังหน่วยงานที่มีอำนาจในการออกหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าแล้ว หากหน่วยงานที่มีอำนาจในการออกหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าของสาธารณรัฐประชาชนจีนไม่ได้ส่งเอกสารแหล่งที่มาของวัตถุดิบ ราคาของวัตถุดิบ และวิธีการคำนวณ RVC มาให้พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ ๑ ตรวจสอบ ทั้งที่ตามระเบียบปฏิบัติเกี่ยวกับหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าสำหรับกฎว่าด้วยถิ่นกำเนิดสินค้าของความตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน-จีน กฎข้อ ๕ (เอ) ข้อ ๖ ข้อ ๗ และข้อ ๑๙ (เอ) (บี) กำหนดให้ผู้ผลิตหรือผู้ส่งออกจะต้องส่งเอกสารที่แสดงให้เห็นว่าสินค้าที่จะส่งออกนั้นมีคุณสมบัติที่จะออกหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าให้ได้ประกอบการพิจารณาด้วย และหน่วยงานต้องตรวจสอบอย่างเต็มความสามารถและอำนาจหน้าที่ เพื่อให้เป็นที่เชื่อได้ว่า หนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าสอดคล้องกับหลักฐานเอกสารที่ได้ยื่นประกอบการพิจารณา โดยหน่วยงานที่มีอำนาจในการออกหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าของสาธารณรัฐประชาชนจีนจะเป็นผู้เก็บรักษาไว้ไม่น้อยกว่า ๓ ปี นับจากวันที่ออกหนังสือรับรองและข้อมูลต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับความสมบูรณ์ของหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าจะต้องจัดส่งให้แก่จำเลยที่ ๑ ในฐานะประเทศภาคีผู้นำเข้าตามที่ได้มีการร้องขอ นอกจากนี้ในกรณีของโจทก์นั้นเห็นได้ว่าพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ ๑ ได้ปฏิบัติตามขั้นตอนที่กำหนดไว้ในประกาศกรมศุลกากรที่ ๓/๒๕๕๕ เรื่อง หลักเกณฑ์และพิธีการการยกเว้นอากรและลดอัตราอากรศุลกากรสำหรับเขตการค้าเสรีอาเซียน-จีน และระเบียบปฏิบัติเกี่ยวกับหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าสำหรับกฎว่าด้วยถิ่นกำเนิดสินค้าของความตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน-จีน กฎข้อ ๑๘ (เอ) แล้ว แต่หน่วยงานที่มีอำนาจออกหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าไม่ได้ส่งเอกสารตามที่จำเลยที่ ๑ ร้องขอเพื่อนำมาประกอบการพิจารณาไม่ช้ากว่า ๙๐ วันนับแต่วันที่ได้รับคำร้องขอตามระเบียบปฏิบัติเกี่ยวกับหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าสำหรับกฎว่าด้วยถิ่นกำเนิดสินค้าของความตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน-จีน กฎข้อ ๑๘ (เอ) (๓) ทำให้จำเลยที่ ๑ ไม่ได้รับข้อมูลที่เพียงพอในการพิสูจน์คุณสมบัติการเป็นสินค้าที่ได้ถิ่นกำเนิดสินค้าตามความตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน-จีนของสินค้าพิพาท ทั้งเมื่อพิจารณาหนังสือขอชี้แจงข้อเท็จจริง ฉบับลงวันที่ ๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ ที่โจทก์ยื่นต่อจำเลยที่ ๑ โดยอ้างว่า มูลค่าของระบบขับหมุนถังผสมคอนกรีต ไม่เกินอัตราส่วนร้อยละ ๔๐ ของมูลค่ารถทั้งคัน เข้าเงื่อนไขการใช้สิทธิหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าโดยใช้ RVC...% โดยชิ้นส่วน MIXER REDUCTION GEAR ที่นำเข้าจากสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ราคาชิ้นละ ๑,๓๘๐ ยูโร ก็เป็นเอกสารที่โจทก์จัดทำขึ้นเองไม่ใช่หลักฐานยืนยันจากบริษัทผู้ผลิตหรือผู้ส่งออกสินค้าพิพาทว่าระบบขับหมุนถังผสมคอนกรีตจะมีชิ้นส่วนเพียง ๓ รายการ และมีราคาตามที่โจทก์อ้างหรือไม่ เอกสารที่แสดงราคาของ MIXER REDUCTION GEAR ก็ไม่ปรากฏชื่อ SUMEC COMPLETE  EQUIPMENT & ENGINEERING CO.,LTD ผู้ขายสินค้าพิพาทให้โจทก์ กลับปรากฏแต่ชื่อ ANHUI  XINGMA AUTOMOBILE  CO.,LTD โดยโจทก์ไม่นำสืบให้เห็นว่าผู้ขายสินค้าพิพาทให้โจทก์มีส่วนเกี่ยวข้องกับเอกสารดังกล่าวอย่างไร และเมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ ๑ นำเอกสารของโจทก์ที่แสดงราคาของ MIXER REDUCTION GEAR มาคำนวณสัดส่วนมูลค่าวัตถุดิบตามสูตรการคำนวณของกฎข้อ ๔ ของกฎว่าด้วยถิ่นกำเนิดสินค้าสำหรับเขตการค้าเสรีอาเซียน-จีน พบว่าได้สัดส่วนมูลค่าวัตถุดิบไม่ตรงกับที่หน่วยงานของสาธารณรัฐประชาชนจีนแจ้งมา พยานหลักฐานโจทก์จึงมีน้ำหนักน้อยไม่น่าเชื่อถือ เมื่อสาธารณรัฐประชาชนจีนประเทศภาคีผู้ส่งออกยังไม่สามารถตอบสนองคำร้องขอของจำเลยที่ ๑ จนเป็นที่พอใจภายในกรอบระยะเวลา ทั้งที่จำเลยที่ ๑ มีหนังสือร้องขอไปถึงสามฉบับ จำเลยที่ ๑ ย่อมมีสิทธิปฏิเสธสิทธิประโยชน์ทางภาษีตามระเบียบปฏิบัติเกี่ยวกับหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า สำหรับกฎว่าด้วยถิ่นกำเนิดสินค้าของความตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน-จีน ข้อ ๑๘ (ดี) ได้ การปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ ๑ จึงเป็นการปฏิบัติตามระเบียบปฏิบัติเกี่ยวกับหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า สำหรับกฎว่าด้วยถิ่นกำเนิดสินค้าของความตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน-จีน ครบถ้วนแล้ว เมื่อโจทก์ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าสินค้าพิพาทมีสัดส่วนมูลค่าวัตถุดิบที่เกิดขึ้นในเขตการค้าเสรีอาเซียน-จีนไม่น้อยกว่าร้อยละ ๔๐ ของมูลค่า เอฟ.โอ.บี.ของสินค้านั้น โจทก์จึงไม่ได้รับสิทธิยกเว้นอากรตามประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การยกเว้นอากรและลดอัตราอากรศุลกากรสำหรับเขตการค้าเสรีอาเซียน-จีน ลงวันที่ ๖ มกราคม ๒๕๕๕ การประเมินของพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ ๑ และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ชอบแล้ว ปัญหาตามฎีกาของโจทก์ประการที่สองที่ว่า แบบแจ้งการประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ชอบด้วยพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ มาตรา ๓๗ หรือไม่ เห็นว่า ปัญหาดังกล่าวเป็นการกล่าวอ้างข้อเท็จจริงที่นำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมาย เมื่อโจทก์ไม่ได้กล่าวอ้างข้อเท็จจริงนี้มาในฟ้องและไม่ได้เป็นประเด็นข้อพิพาทมาในศาลภาษีอากรกลาง จึงเป็นข้อเท็จจริงที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลภาษีอากรกลาง ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๒๕ วรรคหนึ่ง ประกอบ มาตรา ๒๕๒ และพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. ๒๕๒๘ มาตรา ๒๖ ปัญหาตามฎีกาของโจทก์ประการที่สามมีว่า มีเหตุงดหรือลดเงินเพิ่มอากรและภาษีมูลค่าเพิ่มหรือไม่ เห็นว่า เริ่มแรกโจทก์สำแดงถิ่นกำเนิดสินค้าพิพาท “WO” คือ เป็นสินค้าที่ได้มาทั้งหมดหรือมีการผลิตขึ้นโดยใช้วัตถุดิบในประเทศภาคีผู้ส่งออกทั้งหมด แต่เมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ ๑ ตรวจพบว่าระบบขับหมุนถังผสมคอนกรีตมีถิ่นกำเนิดจากสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี โจทก์จึงเปลี่ยนขอใช้สิทธิยกเว้นอากรตามเกณฑ์การคำนวณสัดส่วนมูลค่าวัตถุดิบที่เกิดขึ้นในเขตการค้าเสรีอาเซียน-จีน ไม่น้อยกว่าร้อยละ ๔๐ ของมูลค่า เอฟ.โอ.บี.ของสินค้านั้น แต่โจทก์ก็ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าสินค้าพิพาทมีสัดส่วนมูลค่าวัตถุดิบดังกล่าวหรือไม่จากพฤติการณ์ของโจทก์ดังกล่าวจึงไม่มีเหตุที่จะงดหรือลดเงินเพิ่มอากรและเงินเพิ่มภาษีมูลค่าเพิ่ม  สำหรับปัญหาตามฎีกาของโจทก์ประการสุดท้ายมีว่า ที่ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนจำเลยทั้งสอง โดยกำหนดค่าทนายความ ๑๐,๐๐๐ บาท และศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษพิพากษาให้ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์เป็นพับชอบหรือไม่ เห็นว่า ศาลมีอำนาจใช้ดุลพินิจในการพิพากษาให้คู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งรับผิดในค่าฤชาธรรมเนียมหรือไม่เพียงใดก็ได้ โดยคำนึงถึงเหตุสมควรและความสุจริตในการดำเนินคดี ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๖๑ ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. ๒๕๒๘ มาตรา ๑๗ และมาตรา ๒๕ ซึ่งศาลภาษีอากรกลางและศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษใช้ดุลพินิจในส่วนนี้โดยชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ไม่อาจเปลี่ยนแปลงผลแห่งคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ ฎีกาของโจทก์จึงไม่เป็นปัญหาที่เกี่ยวพันกับประโยชน์สาธารณะ หรือความสงบเรียบร้อยของประชาชน และไม่เป็นกรณีที่คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษได้วินิจฉัยข้อกฎหมายที่สำคัญซึ่งยังไม่มีแนวคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลฎีกามาก่อน อันไม่เป็นปัญหาสำคัญที่ศาลฎีกาควรวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๔๙ วรรคสอง (๑) และ (๓) ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. ๒๕๒๘ มาตรา ๒๖

เผยแพร่โดย

แผนกภาษีอากรในศาลฎีกา

วันที่เผยแพร่
22/04/2567
เข้าดู
8
Share