ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้บังคับตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการตาม พรบ.อนุญาโตตุลาการ พ.ศ. ๒๕๔๕ มาตรา ๔๒ ซึ่งในการยื่นคำร้องดังกล่าวมีประเด็นที่ต้องพิจารณาเพียงว่าศาลจะบังคับตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการหรือไม่เท่านั้น โดยศาลอาจปฏิเสธไม่บังคับตามคำชี้ขาดหากมีเหตุตามที่บัญญัติไว้ใน พรบ.อนุญาโตตุลาการ พ.ศ. ๒๕๔๕ มาตรา ๔๓ และ ๔๔ สำหรับคำร้องในส่วนที่ขอให้บังคับเกินไปกว่าคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการนั้น ศาลไม่อาจมีคำพิพากษาบังคับให้ได้ ดังนั้นการที่ผู้ร้องยื่นคำขอถอนคำร้องในส่วนที่ขอให้บังคับตามสัญญาจำนำหุ้นซึ่งไม่ได้อยู่ในคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการเพื่อให้คงเหลือเฉพาะประเด็นการขอบังคับตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการระหว่างผู้ร้องกับผู้คัดค้านที่ ๑ และที่ ๒ และขอถอนคำร้องในส่วนของผู้คัดค้านที่ ๓ ถึงที่ ๖ ซึ่งไม่ได้ถูกบังคับตามคำชี้ขาด โดยเป็นการยื่นคำขอภายหลังจากผู้คัดค้านทั้งหกยื่นคำคัดค้าน และศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางได้ให้โอกาสแก่ฝ่ายผู้คัดค้านได้คัดค้านคำขอถอนคำร้อง กรณีไม่เป็นการทำให้ผู้คัดค้านที่ ๓ ถึงที่ ๖ ต้องเสียเปรียบ ชอบที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางจะใช้ดุลพินิจอนุญาตให้ผู้ร้องขอถอนคำร้องได้ตามบทบัญญัติแห่ง พรบ.จัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ. ๒๕๓๙ มาตรา ๒๖ ประกอบ ป.วิ.พ. มาตรา ๑๗๕ วรรคสอง ได้
แผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศในศาลฎีกา
กุมภาพันธ์ ๒๕๖๕