ตาม พ.ร.บ.การตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าต่างประเทศ พ.ศ.๒๕๔๒ กระบวนการไต่สวนการทุ่มตลาดและความเสียหายจะเริ่มพิจารณาเมื่อมีคำขอของบุคคลหรือคณะบุคคลตามมาตรา ๓๓ โดยจำเลยที่ ๑ เป็นผู้พิจารณาคำขอในเบื้องต้นว่ามีรายละเอียดหรือหลักฐานครบถ้วนถูกต้องหรือไม่ จากนั้นจึงเสนอคำขอต่อคณะกรรมการพิจารณาการทุ่มตลาดและการอุดหนุนเพื่อพิจารณา เมื่อคณะกรรมการดังกล่าวพิจารณาแล้วเห็นว่าคำขอมีมูลเกี่ยวกับการทุ่มตลาดและความเสียหาย จำเลยที่ ๒ จะดำเนินการไต่สวน เริ่มจากการออกประกาศไต่สวนการทุ่มตลาดและความเสียหายในราชกิจจานุเบกษา และลงโฆษณาในหนังสือพิมพ์รายวันทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ โดยจะแจ้งข้อมูลและกำหนดระยะเวลาให้ผู้มีส่วนได้เสียเสนอข้อเท็จจริงหรือความเห็นเป็นหนังสือ หรือแถลงการณ์ด้วยวาจา เพื่อหาข้อมูลจากผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายแล้วสรุปผลการไต่สวนและเสนอความเห็นต่อคณะกรรมการ เพื่อพิจารณาวินิจฉัยการใช้มาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดต่อไป
ในกรณีที่คณะกรรมการมีคำวินิจฉัยชั้นที่สุดให้เรียกเก็บอากรตอบโต้การทุ่มตลาด หากมีผู้มีส่วนได้เสียได้รับผลกระทบจากการใช้บังคับอากรตอบโต้การทุ่มตลาดดังกล่าว พ.ร.บ.การตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ พ.ศ. ๒๕๔๒ หมวด ๘ บัญญัติให้ผู้มีส่วนได้เสียสามารถร้องขอให้คณะกรรมการทบทวนการใช้บังคับอากรตอบโต้การทุ่มตลาดดังกล่าวได้ ส่วนหมวด ๙ เป็นเรื่องการอุทธรณ์คำวินิจฉัยต่อศาล ซึ่งมาตรา ๖๑ กำหนดเงื่อนไขในการนำคดีขึ้นสู่ศาลสำหรับ ผู้มีส่วนได้เสียแยกออกได้เป็น ๒ กรณี คือ กรณีแรกผู้อุทธรณ์ต้องเป็นบุคคลตามเงื่อนไขของมาตรา ๔๙ วรรคสอง ส่วนกรณีที่สอง ผู้อุทธรณ์ต้องเป็นบุคคลตามเงื่อนไขของมาตรา ๕๖ หรือ ๕๘ ซึ่งมาตรา ๕๖ วรรคหนึ่ง เป็นการที่ผู้มีส่วนได้เสียอาจขอให้คณะกรรมการพิจารณาทบทวนเพื่อยุติการเรียกเก็บหรือเปลี่ยนแปลงอัตราอากรตอบโต้การทุ่มตลาดเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ระหว่างการใช้บังคับอากรตอบโต้การทุ่มตลาด และมาตรา ๕๘ เป็นเรื่องการขอให้ทบทวนสำหรับผู้ส่งออกรายใหม่ที่ไม่เคยส่งสินค้าทุ่มตลาดเข้ามาในช่วงระหว่างการพิจารณาตอบโต้การทุ่มตลาด จึงเห็นได้ว่า กฎหมายมีเจตนารมณ์ที่จะให้จำเลยที่ ๑ เป็นผู้ตรวจสอบเพื่อให้ได้ข้อมูลมากลั่นกรองและตรวจสอบความถูกต้องตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กฎหมายกำหนด แล้วจึงนำมาวิเคราะห์เพื่อสรุปผลการไต่สวนและเสนอความเห็นต่อคณะกรรมการเพื่อพิจารณาวินิจฉัยการใช้มาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด มิใช่เพียงข้อมูลเฉพาะของผู้เกี่ยวข้องฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง การเปิดโอกาสให้ผู้ที่ไม่เคยตอบแบบสอบถามหรือให้ข้อมูลในกระบวนการไต่สวนยื่นอุทธรณ์คำวินิจฉัยชั้นที่สุดของคณะกรรมการต่อศาลได้โดยตรงโดยไม่เคยได้มีการกลั่นกรองตรวจสอบความถูกต้องโดยจำเลยที่ ๑ หรือคณะกรรมการมาก่อนจึงไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของกฎหมาย ดังนั้น ผู้ที่จะอุทธรณ์คำวินิจฉัยชั้นที่สุดของคณะกรรมการตามมาตรา ๖๑ ได้ในกรณีแรก จะต้องเป็นผู้ส่งออกจากต่างประเทศที่ได้ให้ข้อมูลแก่คณะกรรมการและเข้าร่วมกระบวนการไต่สวน และเมื่อคณะกรรมการพิจารณาการทุ่มตลาดและการอุดหนุนพิจารณากำหนดอากรตอบโต้การทุ่มตลาดกับผู้ส่งออกจากต่างประเทศแต่ละรายที่ทุ่มตลาดแล้ว ผู้ส่งออกจากต่างประเทศรายนั้นเห็นว่าอากรตอบโต้การทุ่มตลาดที่กำหนดไม่เหมาะสมจึงใช้สิทธิอุทธรณ์คำวินิจฉัยชั้นที่สุดของคณะกรรมการต่อศาล มิใช่เป็นผู้ส่งออกจากต่างประเทศที่ไม่ได้แจ้งข้อมูลเพื่อให้คณะกรรมการพิจารณาก่อน แต่ได้รับผลกระทบจากการกำหนดอากรตอบโต้ตามคำวินิจฉัยชั้นที่สุดของคณะกรรมการตามที่โจทก์กล่าวอ้าง ดังนั้น แม้โจทก์ส่งออกสินค้าเหล็กลวดคาร์บอนสูงจากสาธารณรัฐประชาชนจีนเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยช่วงปี ๒๕๕๕ ถึงปี ๒๕๕๗ และได้รับผลกระทบจากคำวินิจฉัยชั้นที่สุดของคณะกรรมการตามมาตรา ๔๙ โดยถูกบังคับเรียกเก็บอากรตอบโต้การทุ่มตลาดในอัตราร้อยละ ๓๓.๘๙ ของราคาซีไอเอฟ จึงเป็นผู้มีส่วนได้เสียตามนิยาม มาตรา ๔ (๑) แต่เมื่อโจทก์ไม่เคยตอบแบบสอบถามหรือเข้าร่วมกระบวนการไต่สวนหรือนำพยานหลักฐานใด ๆ มาแสดงต่อคณะกรรมการพิจารณาการทุ่มตลาดและการอุดหนุนเพื่อประกอบการพิจารณา โจทก์จึงไม่อาจใช้สิทธิอุทธรณ์คำวินิจฉัยชั้นที่สุดของคณะกรรมการต่อศาลตามมาตรา ๖๑ วรรคหนึ่ง ได้ แต่ชอบที่จะใช้สิทธิยื่นคำร้องต่อจำเลยที่ ๑ เพื่อขอให้พิจารณาทบทวนการเรียกเก็บอากรตอบโต้การทุ่มตลาด ตามที่บัญญัติไว้ใน พ.ร.บ.การตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๕๖ เสียก่อน เมื่อโจทก์ยังไม่ได้ดำเนินการในส่วนนี้ โจทก์จึงไม่มีสิทธิอุทธรณ์
แผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศในศาลฎีกา
ธันวาคม ๒๕๖๕