ครพ.ภษ. 3664/2562
ป. รัษฎากร มาตรา 19 มิได้กำหนดว่าต้องขออนุมัติขยายเวลาการออกหมายเรียกภายในสองปี นับแต่วันที่ได้ยื่นรายการ เมื่อเจ้าพนักงานประเมินมีเหตุอันควรสงสัยว่าโจทก์มีเจตนาหลีกเลี่ยงภาษีอากรย่อมขออนุมัติให้ขยายระยะเวลาการออกหมายเรียกเกินกว่าสองปีได้ ตามแนวคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9150/2560, 6447/2560, 10338/2559
ป. รัษฎากรในส่วนภาษีเงินได้นิติบุคคลจะมิได้มีบทบัญญัติว่ากรณีที่วัตถุดิบขาดหายจากบัญชีให้ถือว่าเป็นการขาย แต่ถ้ามีการนำวัตถุดิบที่ขาดหายนั้นไปผลิตเป็นสินค้าสำเร็จรูปจำหน่ายก็ถือเป็นการขายสินค้าสำเร็จรูปตามความเป็นจริงได้ คดีนี้โจทก์อ้างอัตราส่วนสูญเสียในการผลิตสินค้าในอัตราร้อยละ 14.5 ซึ่งสูงเกินจริงไปร้อยละ 4.5 ส่วนที่สูงเกินไปร้อยละ 4.5 ดังกล่าวจึงเป็นการส่งออกสินค้าสำเร็จรูปไปขายตามความเป็นจริง ซึ่งการประเมินในกรณีนี้เป็นวิธีตรวจสอบจากพยานหลักฐานที่ปรากฏตาม ป. รัษฎากร มาตรา 20 ที่บัญญัติว่า “...เจ้าพนักงานประเมินมีอำนาจที่จะแก้จำนวนเงินที่ประเมินหรือที่ยื่นรายการไว้เดิมโดยอาศัยพยานหลักฐานที่ปรากฏ...” มิได้ประเมินโดยอาศัยมาตรา 77/1 (8) ที่บัญญัติว่า “ขาย...ให้หมายความรวมถึง... (จ) มีสินค้าขาดจากรายงานสินค้าและวัตถุดิบ...” อันเป็นเรื่องภาษีมูลค่าเพิ่มดังที่โจทก์เข้าใจ และเมื่อส่วนสูญเสียร้อยละ 4.5 ดังกล่าวถือเป็นการขายสินค้าสำเร็จรูปซึ่งต้องส่งมอบทรัพย์สิน เจ้าพนักงานประเมินย่อมมีอำนาจประเมินตามราคาตลาดตามป. รัษฎากร มาตรา 65 ทวิ (4) ได้ ส่วนที่เจ้าพนักงานประเมินจำเป็นต้องนำรายได้ที่ขาดในบางเดือนมาประเมินภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นรอบระยะเวลาบัญชีเต็มปี ก็เนื่องมาจากการคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคลนั้นมาตรา 65 บัญญัติว่า “เงินได้ที่ต้องเสียภาษีตามความในส่วนนี้ คือ กำไรสุทธิซึ่งคำนวณได้จากรายได้จากกิจการหรือเนื่องจากกิจการที่กระทำในรอบระยะเวลาบัญชี...” แต่รายได้ที่ใช้เป็นฐานในการคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคลที่ขาดกับรายรับที่ใช้เป็นฐานในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มที่ขาดคงเป็นจำนวนเดียวกัน ฎีกาของโจทก์จึงไม่เป็นปัญหาสำคัญที่ศาลฎีกาควรวินิจฉัย