ครพ.ภษ. 4817/2562
โจทก์เป็นผู้ซื้ออสังหาริมทรัพย์แห่งเดิมเพียงคนเดียว ต่อมาโจทก์ได้ร่วมกับนางสาว จ ซึ่งอยู่กินกันฉันท์สามีภรรยาโดยไม่ได้จดทะเบียนสมรสซื้ออสังหาริมทรัพย์แห่งใหม่ดังนี้ ย่อมถือว่าอสังหาริมทรัพย์แห่งใหม่เป็นกรรมสิทธิ์รวมระหว่างโจทก์กับนางสาว จ เมื่อโจทก์ได้ซื้ออสังหาริมทรัพย์แห่งเดิมคือห้องชุดเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2553 และโจทก์ได้อาศัยและมีชื่ออยู่ในทะเบียนราษฎร์ของห้องชุดดังกล่าวเมื่อวันที่ 25 เมษายน 2556 เมื่อต่อมาวันที่ 30 พฤศจิกายน 2558 โจทก์และนางสาว จ ร่วมกันซื้ออสังหาริมทรัพย์แห่งใหม่คือที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง และวันที่ 10 สิงหาคม 2559 โจทก์ขายห้องชุดให้กับนาย ย ย่อมถือได้ว่าโจทก์ขายอสังหาริมทรัพย์ซึ่งโจทก์ใช้เป็นที่อยู่อาศัยอันเป็นแหล่งสำคัญ โดยมีชื่ออยู่ในทะเบียนตามกฎหมายว่าด้วยการทะเบียนราษฎรเป็นเวลาไม่น้อยกว่าหนึ่งปีนับแต่วันที่ได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองในอสังหาริมทรัพย์นั้น และภายในกำหนดเวลาหนึ่งปีก่อนหรือนับแต่วันที่ทำสัญญาซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ดังกล่าวผู้มีเงินได้ได้ทำสัญญาซื้อขายอสังหาริมทรัพย์แห่งใหม่ซึ่งมีลักษณะตาม (ก) (ข) และ (ค) เพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัยของตนตามข้อ 2 (62) ของกฎกระทรวง ฉบับที่ 126 (พ.ศ. 2509) แก้ไขเพิ่มเติมโดยกฎกระทรวงฉบับที่ 241 (พ.ศ. 2546) ออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากรแล้ว ตาม ข้อ 2 (62) ของกฎกระทรวงฉบับที่ 126 ไม่ได้ระบุว่าการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์แห่งใหม่ ผู้มีเงินได้จะต้องเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์แต่เพียงผู้เดียวหรือห้ามผู้มีเงินได้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในอสังหาริมทรัพย์แห่งใหม่ เพียงแต่ระบุให้ผู้มีเงินได้ได้ทำสัญญาซื้อขายอสังหาริมทรัพย์แห่งใหม่เพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัยของตนเท่านั้น เมื่อโจทก์นำสืบว่า โจทก์ได้แต่งงานอยู่กินฉันท์สามีภรรยากับนางสาว จ เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2558 ตามสำเนาบัตรเชิญร่วมงานและภาพถ่ายพิธีมงคลสมรส และได้ย้ายชื่อทางทะเบียนราษฎรเข้ามาอยู่ที่อสังหาริมทรัพย์แห่งใหม่ตั้งแต่วันที่ 4 สิงหาคม 2559 ตามสำเนาทะเบียนบ้าน ย่อมถือได้ว่าโจทก์ได้ใช้อสังหาริมทรัพย์แห่งใหม่เป็นที่อยู่ของตนแล้ว กรณีของโจทก์ย่อมถือว่า โจทก์ผู้มีเงินได้ได้ซื้ออสังหาริมทรัพย์แห่งใหม่เพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัยแห่งตนตามข้อ 2 (62) แห่งกฎกระทรวงฉบับที่ 126 (พ.ศ. 2509) แก้ไขเพิ่มเติมโดยกฎกระทรวงฉบับที่ 241 (พ.ศ. 2546) โจทก์จึงได้รับยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับเงินได้ที่โจทก์ได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์แห่งเดิมตามมาตรา 42 (17) แห่งประมวลรัษฎากร ประกอบกฎกระทรวงฉบับที่ 241 (พ.ศ. 2546) และได้รับยกเว้นอากรแสตมป์ สำหรับรายรับจากการกระทำตราสารอันเนื่องมาจากการขายอสังหาริมทรัพย์ตามมาตรา 6 (37) แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 10) พ.ศ. 2500 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 444) พ.ศ. 2548 แต่เมื่อขณะขายอสังหาริมทรัพย์แห่งเดิมโจทก์เป็นเจ้าของรวมร่วมกับนางสาว จ ในอสังหาริมทรัพย์แห่งใหม่ จึงต้องถือว่าโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์อสังหาริมทรัพย์แห่งใหม่เพียงกึ่งหนึ่ง โจทก์จึงได้รับยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับเงินได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์แห่งเดิมเท่ากับจำนวนมูลค่าของอสังหาริมทรัพย์ดังกล่าว แต่ไม่เกินจำนวนมูลค่ากึ่งหนึ่งของอสังหาริมทรัพย์แห่งใหม่ และได้รับยกเว้นค่าอากรแสตมป์ที่คำนวณได้จากจำนวนมูลค่าของอสังหาริมทรัพย์แห่งเดิม แต่ไม่เกินจำนวนมูลค่ากึ่งหนึ่งของอสังหาริมทรัพย์แห่งใหม่ ฎีกาของจำเลยที่ 1 จึงไม่เป็นปัญหาที่เกี่ยวพันกับประโยชน์สาธารณะหรือความสงบเรียบร้อยของประชาชนและไม่เป็นกรณีที่การวินิจฉัยของศาลฎีกาจะเป็นการพัฒนาการตีความกฎหมายดังที่จำเลยที่ 1 อ้างอันไม่เป็นปัญหาสำคัญที่ศาลฎีกาควรวินิจฉัย