ภาษีอากร : คณะบุคคล

ครพ.ภษ. 7180/62

   ประมวลรัษฎากรมาตรา 77/1 (3) “คณะบุคคลที่ไม่ใช่นิติบุคคล” หมายความว่า ห้างหุ้นส่วนสามัญ กองทุน หรือมูลนิธิที่มิใช่นิติบุคคล ... และมาตรา 77/1 (4) “นิติบุคคล” หมายความว่า บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลตามมาตรา 39 ... แม้ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้แย้งกันรับฟังได้ความว่า โจทก์และนาย ณ เป็นพนักงานของบริษัท ภ โจทก์เป็นผู้ดำเนินการจดทะเบียนจัดตั้งและเป็นกรรมการบริษัทกับขอเปิดบัญชีเงินฝากออมทรัพย์และบัญชีเงินฝากกระแสรายวันของบริษัท ช ที่ธนาคาร ธ หลังจากนั้นโจทก์ดำเนินการเปลี่ยนแปลงกรรมการผู้มีอำนาจของบริษัท ช อีก 2 ครั้ง แต่โจทก์และนาย ณ ยังคงมีอำนาจในการสั่งจ่ายเงินจากบัญชีเงินฝากของบริษัท ช ดังกล่าว แต่คดีนี้จำเลยประเมินภาษีมูลค่าเพิ่มโจทก์ในฐานะคณะบุคคลนาย ณ และนางสาว ฎ สืบเนื่องมาจากเจ้าพนักงานจำเลยตรวจสอบเอกสารหลักฐานแล้วปรากฏว่าบริษัท ภ จ่ายค่าจ้างทำของหรือค่าจ้างก่อสร้างให้แก่บริษัท ช ในปี 2555 และปี 2556 เป็นเงินห้าสิบล้านบาทเศษ เจ้าพนักงานจำเลยจึงตรวจสอบภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับเดือนภาษีมีนาคม 2555 ถึงกุมภาพันธ์ 2556 ของบริษัท ช พบว่าบริษัทดังกล่าวมีรายรับจากการรับเหมาก่อสร้าง 50,262,026.26 บาท แต่นำรายรับมาคำนวณยื่นแบบแสดงรายการเพียง 20,325,375.77 บาท ขาดไปจำนวน 29,936,650.49 บาท จำเลยถือว่าโจทก์และนาย ณ เป็นผู้มีส่วนได้เสียในการประกอบกิจการของบริษัท ช และเป็นตัวการเชิดบริษัท ช ให้ประกอบกิจการแทนจึงประเมินภาษีมูลค่าเพิ่มโจทก์ถือเป็นบุคคลในคณะบุคคลนาย ณ และนางสาว ฎ ในรายรับดังกล่าว โดยให้เหตุผลว่าโจทก์และนาย ณ เอาตัวเองออกจากการเป็นกรรมการผู้มีอำนาจของบริษัท ช แต่ยังคงมีอำนาจบริหารจัดการทางการเงินของบริษัท เมื่อที่มาของรายรับส่วนที่จำเลยประเมินภาษีมูลค่าเพิ่มก็มาจากการตรวจสอบเส้นทางการเงินของบริษัท ภ ที่จ่ายค่าจ้างทำของหรือค่าจ้างก่อสร้างให้แก่บริษัท ช ผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มในฐานะคู่สัญญาผู้มีรายรับจากการประกอบกิจการ และมีภาระภาษีที่แท้จริง หากแม้โจทก์กระทำการตามที่จำเลยกล่าวอ้าง คือมีอำนาจสั่งการในการทำนิติกรรมทางการเงิน การทำสัญญารับเหมาก่อสร้าง การจัดซื้อ การรับค่าตอบแทน การเปลี่ยนชื่อกรรมการของบริษัท ช รวมทั้งเป็นผู้มีอำนาจลงนามสั่งจ่ายเงินในบัญชีของบริษัท ช ร่วมกับนาย ณ และเป็นผู้รับเงินจากบริษัท ชก็เป็นเพียงการกระทำเสมือนโจทก์เป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนบริษัทเท่านั้น มิใช่กระทำการในฐานะส่วนตนหรือให้บริการในฐานะบุคคลธรรมดาหรือคณะบุคคลซึ่งเป็นคนละหน่วยภาษีกับนิติบุคคลตามประมวลรัษฎากร อีกทั้งยังปรากฏข้อเท็จจริงเพียงว่า เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2555 โจทก์เบิกถอนเงินสดจากบัญชีบริษัท ช 600,000 บาท ซึ่งโจทก์นำสืบว่า โจทก์ต้องเบิกเงินสดมาจ่ายค่าแรงคนงานก่อสร้างช่วงปิดโครงการสิ้นปีเมื่อเปรียบเทียบกับรายรับที่จำเลยอ้างว่าได้รับเงินค่ารับเหมาก่อสร้างจากบริษัท ภ สำหรับเดือนภาษีมีนาคม 2555 ถึงกุมภาพันธ์ 2556 เป็นจำนวนถึง 50,262,026.26 บาทแล้วแตกต่างกันมาก ประกอบกับจากทางนำสืบจำเลยไม่ปรากฏชัดแจ้งว่า โจทก์เป็นตัวการร่วมมือกับนาย ณ เจตนาตั้งคณะบุคคลเพื่อใช้กลอุบายหลีกเลี่ยงภาษี จึงฟังไม่ได้ว่าโจทก์เป็นตัวการร่วมกับนาย ณ เป็นคณะบุคคลดำเนินการจดทะเบียนก่อตั้งบริษัท ช ขึ้นมาเป็นตัวแทนเชิดเข้าทำสัญญารับเหมาก่อสร้างโดยเจตนาไม่สุจริต และข้อเท็จจริงยังไม่ถึงขนาดฟังได้ว่าโจทก์มีส่วนร่วมรู้เห็นในการเป็นตัวการจัดตั้งบริษัท ช ขึ้นมาเพื่อแสวงหาประโยชน์แล้วหลีกเลี่ยงภาษีในส่วนที่บริษัท ช ไม่ได้ยื่นให้ครบถ้วน จำนวนรายรับที่ขาดไปตามการประเมินจำนวน 29,936,650.49 บาท จึงไม่ใช่รายรับของโจทก์โจทก์จึงไม่มีความรับผิดตามการประเมิน ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามาชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยจึงไม่เป็นปัญหาสำคัญที่ศาลฎีกาควรวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 วรรคหนึ่ง ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. 2528 มาตรา 26

เผยแพร่โดย

แผนกคดีภาษีอากร

วันที่เผยแพร่
07/05/2563
เข้าดู
6
Share