พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรฯ : อุทธรณ์คำพิพากษาหรือคำสั่ง

ครพ.ภษ. 2901/2564

          เมื่อศาลภาษีอากรกลางมีคำสั่งชี้ขาดข้อคัดค้านการกำหนดประเด็นและภาระการพิสูจน์ของโจทก์แล้วคำสั่งดังกล่าวเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา เมื่อโจทก์มิได้โต้แย้งไว้จึงไม่มีสิทธิอุทธรณ์ในปัญหานี้ ตามนัยคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8819/2554 พระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ. 2475 มาตรา 18 มิได้บัญญัติบังคับให้นำค่ารายปีของปีที่ล่วงแล้วมาเป็นค่ารายปีของปีต่อมาโดยตรงเพียงแต่ให้นำมาเป็นหลักในการคำนวณเท่านั้น เนื่องจากค่ารายปีย่อมอาจจะเพิ่มขึ้นหรือลดลงแล้วแต่พฤติการณ์และความเป็นจริง ค่ารายปีในแต่ละปีจึงอาจไม่เท่ากัน ทั้งกรณีการประเมินภาษีของโจทก์เป็นกรณีที่หาค่าเช่าไม่ได้เนื่องจากโจทก์ดำเนินกิจการเอง โดยไม่จำกัดเฉพาะในครั้งแรกที่มีการยื่นแบบแสดงรายการเพื่อเสียภาษีเท่านั้น การที่จำเลยประเมินค่ารายปีและภาษีโรงเรือนและที่ดินสำหรับทรัพย์สินของโจทก์โดยคำนึงถึงลักษณะของทรัพย์สิน ขนาด พื้นที่ ทำเลที่ตั้งและบริการสาธารณะที่ทรัพย์สินนั้นได้รับประโยชน์ที่เพิ่มขึ้นจากปีก่อน ๆ ตามมาตรา 8 วรรคสาม จึงเป็นการประเมินที่ชอบแล้ว 

          ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษมีอำนาจวินิจฉัยคดีโดยเพียงแต่พิจารณาฟ้องอุทธรณ์ คำแก้อุทธรณ์ เอกสารและหลักฐานทั้งปวงในสำนวนความ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 240 ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. 2528 มาตรา 25 ซึ่งตามอุทธรณ์โจทก์หน้า 25 โจทก์กล่าวในอุทธรณ์ว่า “การประเมินภาษีตั้งแต่ปีภาษี 2543 ถึงปีภาษี 2559 เป็นการประเมินโดยใช้ค่ารายปีของปีที่ล่วงมาแล้วเป็นหลักในการคำนวณภาษีในปีต่อมา” การที่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษวินิจฉัยถึงลักษณะทรัพย์สินตามที่โจทก์แจ้งรายการเพื่อเสียภาษีโรงเรือนประจำปีภาษี 2543 ถึงปีภาษี 2559 ว่ามีความแตกต่างไปจากลักษณะทรัพย์สินที่ปรากฏในปีภาษี 2561 ที่พนักงานเจ้าหน้าที่ประเมินจากทรัพย์สินของโจทก์ที่เพิ่มขึ้น จึงเป็นการวินิจฉัยประเด็นแห่งคดีตามอุทธรณ์ของโจทก์แล้วทั้งคำวินิจฉัยดังกล่าวได้แสดงเหตุผลแห่งคำวินิจฉัยโดยชอบแล้ว

          ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 ที่ห้ามนำพยานบุคคลเข้าสืบเพิ่มเติมตัดทอนหรือเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสารนั้น จะต้องเป็นกรณีที่กฎหมายบังคับให้ต้องมีพยานเอกสารมาแสดง แต่กรณีที่โจทก์ฎีกานั้นอ้างถึงการนำสืบของนางสาว อ. เพื่ออธิบายให้เห็นว่านาย ส. ได้รับแต่งตั้งให้มีอำนาจลงนามในใบแจ้งคำชี้ขาดดังกล่าวได้ ใบแจ้งคำชี้ขาดดังกล่าวหาได้มีกฎหมายบังคับให้ต้องมีพยานเอกสารมาแสดง เมื่อรับฟังประกอบพยานบุคคลที่จำเลยนำสืบแล้วย่อมมีน้ำหนักให้รับฟังได้ว่านาย ส. ลงชื่อในใบแจ้งคำชี้ขาดโดยมีอำนาจ ไม่เป็นการต้องห้ามตามกฎหมาย

          ฎีกาของโจทก์ไม่เป็นปัญหาสำคัญที่ศาลฎีกาควรวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาความคดีภาษีอากร พ.ศ. 2528 มาตรา 26

 

ครพ.ภษ. 5280/2565

         เมื่อศาลภาษีอากรกลางมีคำสั่งไม่รับคำฟ้อง เมื่อวันที่ ๒๑ กรกฎาคม ๒๕๖๔ โจทก์ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ เป็นระยะเวลา ๖๐ วัน ซึ่งศาลภาษีอากรกลางมีคำสั่งในวันเดียวกันว่า อนุญาตให้ขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ออกไปจนถึงวันที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๖๔ ตามขอ แต่หลังจากครบกำหนดเวลาดังกล่าวแล้ว โจทก์ไม่ได้ยื่นอุทธรณ์ภายในกำหนดระยะเวลาที่ศาลอนุญาตให้ขยาย แต่โจทก์กลับมายื่นอุทธรณ์ในวันที่ ๒๗ กันยายน ๒๕๖๔ อันเป็นการยื่นอุทธรณ์เมื่อพ้นกำหนดระยะเวลาที่ศาลภาษีอากรกลางอนุญาต ศาลภาษีอากรกลางจึงมีคำสั่งในวันเดียวกับที่โจทก์มายื่นอุทธรณ์ว่า คดีนี้โจทก์ยื่นอุทธรณ์เมื่อพ้นกำหนดระยะเวลาอุทธรณ์ที่ศาลขยายให้จึงไม่รับอุทธรณ์ โดยท้ายอุทธรณ์ระบุว่า รอฟังคำสั่งอยู่ ถ้าไม่รอให้ถือว่าทราบแล้ว หากโจทก์ต้องการโต้แย้งคำสั่งของศาลภาษีอากรกลางต้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์ไปยังศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษโดยยื่นคำร้องต่อศาลภาษีอากรกลางภายใน ๑๕ วัน นับแต่วันที่ศาลได้มีคำสั่งแต่โจทก์กลับมายื่นคำร้องขออนุญาตฎีกาพร้อมฎีกาขอให้ศาลฎีการับฎีกาเพื่อให้ศาลภาษีอากรกลางนำคดีมาพิจารณาตามปกติทั่วไปโดยยื่นต่อศาลภาษีอากรกลางเมื่อวันที่ ๒๗ ตุลาคม ๒๕๖๔ กรณีจึงไม่อาจขออนุญาตฎีกาได้

เผยแพร่โดย

แผนกภาษีอากรในศาลฎีกา

วันที่เผยแพร่
22/03/2566
เข้าดู
4
Share