ครพ.ภษ. 1952/2564
เมื่อศาลภาษีอากรกลางมีคำสั่งชี้ขาดข้อคัดค้านการกำหนดประเด็นและภาระการพิสูจน์ของโจทก์แล้ว จึงเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา เมื่อโจทก์มิได้โต้แย้งไว้โจทก์จึงไม่มีสิทธิอุทธรณ์ในปัญหานี้ ตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 8819/2554 ส่วนคำพิพากษาศาลฎีกาที่โจทก์อ้างตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3202/2559 ข้อเท็จจริงไม่ตรงกับคดีนี้ ที่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษไม่รับวินิจฉัยในประเด็นนี้จึงชอบแล้ว
ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษมีอำนาจที่จะวินิจฉัยคดีโดยเพียงแต่พิจารณาฟ้องอุทธรณ์ คำแก้อุทธรณ์ เอกสารและหลักฐานทั้งปวงในสำนวนความซึ่งศาลภาษีอากรกลางส่งขึ้นมา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 240 ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. 2528 มาตรา 25 โดยโจทก์อ้างในฎีกาว่า โจทก์ได้โต้แย้งในคำอุทธรณ์ของโจทก์ว่าใบแจ้งรายการประเมินและแจ้งคำชี้ขาดไม่ได้กระทำโดยเจ้าหน้าที่ซึ่งมีอำนาจกระทำหน้าที่ อันเป็นการโต้แย้งคำพิพากษาศาลภาษีอากรกลางที่วินิจฉัยว่าใบแจ้งรายการประเมินและใบแจ้งคำชี้ขาดเป็นการกระทำโดยเจ้าหน้าที่ซึ่งมีอำนาจหน้าที่ในเรื่องนั้น การที่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษวินิจฉัยในประเด็นดังกล่าวจึงเป็นการวินิจฉัยคดีโดยพิจารณาฟ้องอุทธรณ์ของโจทก์และคำแก้อุทธรณ์ของจำเลยในสำนวนแล้ว จึงมีอำนาจกระทำได้
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 ที่ห้ามนำพยานบุคคลเข้าสืบเพิ่มเติมตัดทอนหรือเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสารนั้น จะต้องเป็นกรณีที่กฎหมายบังคับให้ต้องมีพยานเอกสารมาแสดง แต่กรณีที่โจทก์ฎีกานั้นอ้างถึงการนำสืบของจำเลยเกี่ยวกับเอกสารคำสั่งมอบหมายรองนายกองค์การบริหารส่วนตำบล ท. ให้ลงนามในใบแจ้งคำชี้ขาด หนังสือแจ้งการประเมินและใบแจ้งคำชี้ขาดนั้นหาได้มีกฎหมายบังคับให้ต้องมีพยานเอกสารมาแสดง เมื่อรับฟังประกอบพยานบุคคลที่จำเลยนำสืบได้ว่าผู้ลงนามในใบแจ้งคำชี้ขาดมีอำนาจตามกฎหมายแล้วพยานจำเลยมีน้ำหนักให้รับฟังได้มากกว่าพยานหลักฐานของโจทก์ดังที่ศาลภาษีอากรกลางและศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษได้วินิจฉัยมาแล้ว
จำเลยมีทั้งพยานบุคคล รวมถึงนางสาว อ. ปลัดองค์การบริหารส่วนตำบลทัพหลวงมาเบิกความประกอบพยานเอกสารว่านางสาว อ. เป็นผู้ได้รับการแต่งตั้งเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ผู้ประเมินภาษีโรงเรือนและที่ดิน โรงเรือนและที่ดินของโจทก์เป็นกรณีหาค่าเช่าไม่ได้เนื่องจากโจทก์ดำเนินกิจการเอง จึงประเมินค่ารายปีโดยคำนึงถึงลักษณะของทรัพย์สิน ขนาด พื้นที่ ทำเลที่ตั้ง และบริการสาธารณะที่ทรัพย์สินของโจทก์ได้รับประโยชน์ รวมทั้งประกาศกระทรวงมหาดไทยประกอบบัญชีค่าเช่ามาตรฐานกลาง พร้อมกับพิจารณาเทียบเคียงกับผู้ประกอบการรายอื่นที่มีลักษณะของทรัพย์สิน ขนาด พื้นที่ ทำเลที่ตั้งคล้ายคลึงกัน พยานหลักฐานของจำเลยจึงมีน้ำหนักรับฟังได้ว่านางสาว อ. ปลัดองค์การบริหารส่วนตำบลทัพหลวง ได้รับการแต่งตั้งเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ผู้ประเมินภาษีโรงเรือนและที่ดิน จึงมีอำนาจกำหนดค่ารายปีและการกำหนดค่ารายปีเป็นไปตามมาตรา 8 แห่งพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ. 2475 แล้ว
ส่วนฎีกาข้ออื่นของโจทก์ไม่จำต้องวินิจฉัยเนื่องจากเป็นรายละเอียดและไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลงไป ฎีกาของโจทก์ไม่เป็นปัญหาสำคัญที่ศาลฎีกาควรวินิจฉัย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 วรรคหนึ่ง และวรรคสอง (2) ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้ง
ศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. 2528 มาตรา 26
ครพ.ภษ. 6936/2563
แม้จำเลยที่ 1 จะอ้างว่า การคำนวณพื้นที่ทรัพย์สินส่วนนี้เป็นไปตามใบอนุญาตก่อสร้างอาคารของโจทก์ ประกอบกฎกระทรวง ฉบับที่ 55 (พ.ศ. 2543) ออกตามความในพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 แต่เหตุผลในการประกาศใช้กฎกระทรวงฉบับดังกล่าว คือ “...เพื่อประโยชน์แห่งความมั่นคงแข็งแรง ความปลอดภัย การป้องกันอัคคีภัย การสาธารณสุข การรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม การผังเมือง การสถาปัตยกรรม และการอำนวยความสะดวกแก่การจราจร...” เท่านั้น การประเมินค่ารายปีและค่าภาษีโรงเรือนและที่ดินจึงต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ. 2475 สำหรับโรงเรือนของโจทก์เป็นกรณีที่หาค่าเช่าไม่ได้เนื่องจากเจ้าของทรัพย์สินดําเนินกิจการเอง ซึ่งตามมาตรา 8 วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ. 2475 กำหนดให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีอํานาจประเมินค่ารายปีได้ โดยคํานึงถึงลักษณะของทรัพย์สิน ขนาด พื้นที่ ทําเลที่ตั้ง และบริการสาธารณะที่ทรัพย์สินนั้นได้รับประโยชน์ เมื่อพิจารณาตามแบบแปลนอาคารที่ใช้ประกอบการค้าของโจทก์ ประกอบภาพถ่ายแล้วจะเห็นได้ว่า อาคารที่ใช้ประกอบการค้าของโจทก์ชั้นที่ 1 และชั้นที่ 3 มีการใช้ประโยชน์เพียงบางส่วนไม่เต็มพื้นที่ แต่เจ้าพนักงานของจำเลยที่ 1 ประเมินค่ารายปีและค่าภาษีโดยคำนวณจากพื้นที่เต็มทั้ง 3 ชั้น จึงไม่ตรงกับพฤติการณ์และสภาพความเป็นจริง และเป็นการไม่คำนึงถึงลักษณะของทรัพย์สิน ขนาด พื้นที่ ทำเลที่ตั้ง และบริการสาธารณะที่ทรัพย์สินนั้นได้รับประโยชน์คล้ายคลึงกันในเขตของหน่วยการบริหารราชการส่วนท้องถิ่นนั้น การที่จำเลยที่ 1 คิดคำนวณพื้นที่อาคารที่ใช้ประกอบการค้าเป็นพื้นที่ 3 ชั้นมานั้นจึงไม่ชอบ ที่จำเลยทั้งสองอ้างว่า โจทก์เคยยอมชำระภาษีโรงเรือนและที่ดินประจำปีภาษี 2560 ตามการประเมินของจำเลยที่ 1 โดยคำนวณพื้นที่อาคารใช้ประกอบการค้าของโจทก์เช่นเดียวกับปีภาษีพิพาทนั้น ตามพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ. 2475 มาตรา 18 มิได้บังคับให้นำค่ารายปีของปีที่ล่วงแล้วมาเป็นค่ารายปีของปีต่อมาโดยตรง เพียงแต่ให้นำมาเป็นหลักสำหรับการคำนวณเท่านั้น ทั้งได้ความจากนาย อ. พยานโจทก์ว่า โจทก์ยังคงโต้แย้งการประเมินดังกล่าวอยู่ แต่เหตุที่ไม่ได้อุทธรณ์ต่อศาลเนื่องจากความผิดพลาดของพนักงานของโจทก์ ที่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษวินิจฉัยมานั้น จึงชอบแล้วและไม่มีเหตุที่จะเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญในคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษได้ ฎีกาของจำเลยทั้งสองจึงไม่เป็นปัญหาสำคัญที่ศาลฎีกาควรวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. 2528 มาตรา 26
ครพ.ภษ. 11725/2563
โจทก์ประกอบกิจการจำหน่ายสินค้า เช่น วัสดุก่อสร้าง เครื่องใช้ไฟฟ้า จึงเป็นกรณีที่หาค่าเช่าของทรัพย์สินไม่ได้เนื่องจากเจ้าของทรัพย์สินดำเนินกิจการเอง การประเมินค่ารายปีจึงต้องคำนึงถึงลักษณะของทรัพย์สิน ขนาด พื้นที่ ทําเลที่ตั้ง และบริการสาธารณะที่ทรัพย์สินนั้นได้รับประโยชน์ แม้จำเลยประเมินค่ารายปีทรัพย์สินของโจทก์ปีภาษี 2561 ที่พิพาท ตามประกาศเทศบาลตำบลเขาเจียก เรื่องการกำหนดราคาค่าเช่ามาตรฐานกลางเฉลี่ยต่อตารางเมตร (ต่อเดือน) ลงวันที่ 27 ธันวาคม 2559 แต่การกำหนดราคาค่าเช่ามาตรฐานกลางเฉลี่ยต่อตารางเมตรนั้น นอกจากต้องคำนึงถึงลักษณะของทรัพย์สิน ขนาด พื้นที่ ทําเลที่ตั้ง และบริการสาธารณะที่ทรัพย์สินนั้นได้รับประโยชน์เพื่อใช้เป็นแนวทางประกอบการประเมินแล้ว ยังต้องพิจารณาร่วมกับองค์ประกอบอื่น ๆ อีก เช่น ดัชนีราคาผู้บริโภคของทางราชการ สภาพทางเศรษฐกิจ ภาระภาษีของราษฎร รวมถึงพฤติการณ์และความเป็นจริง ซึ่งเมื่อพิจารณาประกาศกำหนดราคาค่าเช่ามาตรฐานกลางเฉลี่ยต่อตารางเมตรต่อเดือนที่จำเลยนำมาใช้กำหนดเป็นค่ารายปีทรัพย์สินของโจทก์เทียบกับราคาค่าเช่ามาตรฐานกลางเฉลี่ยต่อตารางเมตรต่อเดือนของเทศบาลตำบลท่ามิหรำ อำเภอเมือง จังหวัดพัทลุง ตามประกาศเทศบาลตำบลท่ามิหรำ เรื่อง การกำหนดราคาค่าเช่ามาตรฐานกลางเฉลี่ยต่อตารางเมตรต่อเดือน ซึ่งเป็นองค์การบริหารส่วนท้องถิ่นท้องที่ใกล้เคียงกับจำเลยในส่วนของห้างสรรพสินค้าในทำเลที่ 1 ไว้ไม่เกิน 14 บาทต่อตารางเมตรต่อเดือน และเทศบาลนครนครศรีธรรมราช จังหวัดนครศรีธรรมราช ตามเทศบาลนครนครศรีธรรมราช การกำหนดราคาค่าเช่ามาตรฐานกลางเฉลี่ยต่อตารางเมตร กำหนดราคาค่าเช่ามาตรฐานกลางไว้ 15 บาทต่อตารางเมตรต่อเดือนส่วนจำเลยกำหนดราคาค่าเช่ามาตรฐานกลางสำหรับร้านค้าขายวัสดุและอุปกรณ์ก่อสร้างในทำเล 1 หมายถึง ทรัพย์สินที่ตั้งอยู่ในแหล่งที่ใช้ประโยชน์ในทางเศรษฐกิจได้ดีที่สุดในท้องถิ่น ไว้ถึง 100 บาทต่อตารางเมตรต่อเดือน โดยไม่ปรากฏเหตุผลว่าจำเลยซึ่งมีฐานะเทศบาลตำบลซึ่งโดยปกติย่อมมีความเจริญน้อยกว่าเทศบาลเมือง เพราะเหตุใดถึงกำหนดราคาซึ่งทรัพย์สินนั้นสมควรให้เช่าได้ในจำนวนสูงกว่าเขตพื้นที่อื่นหลายเท่า ตามรายงานการประชุมคณะกรรมการกลั่นกรองการประเมินค่ารายปี ครั้งที่ 1/2559 ลงวันที่ 17 พฤศจิกายน 2559 ก็มีรายละเอียดเกี่ยวกับการสำรวจทรัพย์สินเพียงไม่กี่ประเภท และมีหนังสือสัญญาเช่าประกอบการพิจารณาไม่กี่ลำดับ เมื่อการกำหนดค่ารายปีของพนักงานเจ้าหน้าที่และคำชี้ขาดสำหรับโรงเรือนของโจทก์ที่ใช้อัตราค่าเช่ามาตรฐานกลาง ตามประกาศเทศบาลตำบลเขาเจียก เรื่องการกำหนดราคาค่าเช่ามาตรฐานกลางเฉลี่ยต่อตารางเมตร (ต่อเดือน) ลงวันที่ 27 ธันวาคม 2559 มีอัตราที่สูงกว่าปกติมาก โดยไม่ปรากฏว่าเขตเทศบาลตำบลเขาเจียกมีทำเลที่ตั้ง การใช้ทรัพย์ บริการสาธารณะ และสภาพทางเศรษฐกิจสูงกว่าเขตพื้นที่ใกล้เคียงอย่างไร การกำหนดค่ารายปีและคำชี้ขาดสำหรับโรงเรือนของโจทก์จึงไม่เป็นไปตามพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ. 2475 มาตรา 8 การที่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษกำหนดค่ารายปีและค่าภาษีโรงเรือนและที่ดินของโจทก์ทำนองเดียวกับการกำหนดค่ารายปีตามคำสั่งศาลฎีกาที่ ครพ.ภษ. 4614/2561 ซึ่งเป็นการเก็บภาษีโรงเรือนและที่ดินในเขตเทศบาลจำเลยในช่วงระยะเวลาใกล้เคียงกับคดีพิพาทนี้ ย่อมถือว่าเป็นอัตราที่เหมาะสมโดยคำนึงถึงลักษณะของทรัพย์สิน ขนาด พื้นที่ ทําเลที่ตั้ง และบริการสาธารณะที่ทรัพย์สินนั้นได้รับประโยชน์ตามพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ. 2475 มาตรา 8 วรรคสามแล้ว ฎีกาของจำเลยไม่มีเหตุพอที่จะเปลี่ยนแปลงผลคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษได้ ฎีกาของจำเลยจึงไม่เป็นปัญหาสำคัญที่เกี่ยวพันกับประโยชน์สาธารณะ หรือความสงบเรียบร้อยของประชาชน และไม่เป็นกรณีคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษได้วินิจฉัยข้อกฎหมายที่สำคัญขัดกันหรือขัดกับแนวบรรทัดฐานของคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลฎีกา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคสอง (1) (2) ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. 2528 มาตรา 26
ครพ.ภษ. 11976/2563
โจทก์ทำสัญญาเช่าและสัญญาบริการแยกจากกันเป็น 2 สัญญา เมื่อพิจารณาสัญญาเช่าและสัญญาบริการ โดยตามสัญญาบริการมีข้อความระบุให้ผู้ให้บริการจัดการสิ่งต่าง ๆ ที่เรียกว่า “บริการ” เหล่านี้ คือ จัดให้มีแสงไฟบริเวณพื้นที่ใช้สอยส่วนรวม ให้การรักษาความปลอดภัยบริเวณพื้นที่ใช้สอยส่วนรวม ดำเนินการทำความสะอาดพื้นที่ใช้สอยส่วนรวม จัดให้พื้นที่ใช้สอยรวมมีระบบสุขอนามัย อันได้แก่ ห้องสุขภัณฑ์ การระบายน้ำทิ้ง การกำจัดขยะและบริการน้ำประปา และจัดหาลิฟต์เพื่อใช้ในการขนส่งคนและสิ่งของ สัญญาบริการดังกล่าวจึงเป็นเพียงการให้บริการพื้นที่ส่วนกลางอันได้แก่ การจัดให้มีแสงไฟ การรักษาความปลอดภัย การทำความสะอาด ระบบสุขอนามัย การบริการน้ำประปา และการบำรุงรักษาลิฟต์ ซึ่งถือได้ว่าเป็นบริการพื้นฐานสำหรับอาคารสูงที่โจทก์ในฐานะเจ้าของโรงเรือนและผู้ให้เช่ามีให้แก่ผู้เช่าในการใช้ทรัพย์สินที่เช่าได้สะดวกขึ้นเท่านั้น เมื่อไม่ปรากฏเหตุผลจากทางนำสืบโจทก์ว่า การให้บริการดังกล่าวมีความพิเศษไปกว่าการให้บริการตามปกติธรรมดาโดยทั่วไปของอาคารสูงอย่างไรและเหตุใดค่าบริการพื้นที่ส่วนกลางจึงต้องกำหนดสูงกว่าค่าเช่าทั้ง ๆ ที่พื้นที่ใช้งานหลักในส่วนของผู้เช่าคือพื้นที่ตามสัญญาเช่า ประกอบกับนาย ร. พยานโจทก์ยังเบิกความตอบคำถามค้านทนายจำเลยว่า สัญญาเช่าและสัญญาบริการไม่ได้มีลักษณะที่แยกต่างหากจากกัน จึงยิ่งเป็นข้อสนับสนุนให้เห็นว่าสัญญาเช่าและสัญญาบริการไม่อาจจะแยกออกจากกันได้อย่างแท้จริง และมีเหตุอันสมควรที่ทำให้พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยเห็นว่าค่าเช่าตามสัญญาเช่านั้นไม่ใช่จำนวนเงินอันสมควรที่จะให้เช่าได้ตามพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ. 2475 มาตรา 8 วรรคสาม และแก้ไขกำหนดค่ารายปีปีภาษีพิพาทเสียใหม่ได้ ประกอบกับการที่พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยได้นำหลักการแบ่งทำเลทรัพย์สินและนำอาคารที่อยู่ทำเลข้างเคียง คือ บริษัท ซ. บริษัท ส. และบริษัท ย. ที่มีทั้งสัญญาเช่าและสัญญาให้บริการ ซึ่งมีระยะห่างจากโรงเรือนโจทก์ประมาณ 300 ถึง 600 เมตร และมีลักษณะการใช้งานคล้ายคลึงกับโจทก์ คือ ใช้ประโยชน์เป็นสำนักงานของตนเองและออกให้เช่ามาเทียบเคียงกับอัตราเฉลี่ยต่อตารางเมตร ถือได้ว่าพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยได้คำนึงถึงลักษณะของทรัพย์สิน ขนาด พื้นที่ ทำเลที่ตั้ง และบริการสาธารณะที่ทรัพย์สินนั้นได้รับประโยชน์คล้ายคลึงกันแล้ว การนำค่าบริการมารวมกับค่าเช่าเพื่อกำหนดเป็นค่ารายปีของปีภาษีพิพาท จึงถือว่ามีเหตุอันสมควรแล้วตามพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ. 2475 มาตรา 8 วรรคสองและวรรคสาม ฎีกาของโจทก์จึงไม่เป็นปัญหาสำคัญที่ศาลฎีกาควรวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคสอง (3) (5) ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. 2528 มาตรา 26
ครพ.ภษ. 11980/2563
โรงเรือนของโจทก์มีลักษณะเป็นอาคารสองชั้น ชั้นล่างคือสำนักงานและพื้นที่บริการซึ่งวางสินค้าประเภทเฟอร์นิเจอร์แสดงให้ลูกค้าได้ชม ชั้นบนเต็มไปด้วยสินค้าเฟอร์นิเจอร์ที่ลูกค้าขึ้นไปชมและเลือกซื้อได้ ทั้งได้ความจากนางสาว ป. กรรมการโจทก์ว่า สินค้าโจทก์เป็นสินค้าเฟอร์นิเจอร์ไม่มีการขายวัสดุก่อสร้างอื่น นาย ร. พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยก็เบิกความว่า โจทก์ดำเนินกิจการขายเฟอร์นิเจอร์อย่างเดียวไม่ได้มีการขายสินค้าอุปโภคบริโภคอื่น แสดงให้เห็นว่าโรงเรือนของโจทก์มีลักษณะและการใช้ประโยชน์ต่างจากห้างสรรพสินค้าทั่วไป การที่จำเลยกำหนดค่ารายปีโรงเรือนพิพาทโดยเทียบกับห้างสรรพสินค้าทั่วไปจึงไม่ชอบ ฎีกาของจำเลยไม่มีเหตุพอที่จะเปลี่ยนแปลงผลคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษได้ ส่วนคำพิพากษาศาลฎีกาที่จำเลยอ้างมีข้อเท็จจริงไม่ตรงกับคดีนี้ ฎีกาของจำเลยจึงไม่เป็นกรณีที่คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษได้วินิจฉัยข้อกฎหมายที่สำคัญขัดกันหรือขัดกับแนวบรรทัดฐานของคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลฎีกา และไม่เป็นกรณีที่การวินิจฉัยของศาลฎีกาจะเป็นการพัฒนาการตีความกฎหมาย อันไม่เป็นปัญหาสำคัญที่ศาลฎีกาควรวินิจฉัย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคสอง (2) (5) ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. 2528 มาตรา 26
ครพ.ภษ. 491/2565
โจทก์สามารถนำสืบถึงค่าเช่ามาตรฐานกลางเฉลี่ยต่อตารางเมตร (ต่อเดือน) ของโรงเรือนและที่ดินซึ่งตั้งอยู่นอกเขตพื้นที่ของจำเลยเพื่อให้เห็นว่าจำเลยกำหนดราคาค่าเช่ามาตรฐานกลางเฉลี่ยต่อตารางเมตร (ต่อเดือน) สูงเกินสมควร เพราะหลักเกณฑ์ตามพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ. 2475 มาตรา 8 วรรคสาม ที่กำหนดให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจประเมินค่ารายปีได้โดยคำนึงถึงลักษณะของทรัพย์สิน ขนาด พื้นที่ ทำเลที่ตั้ง และบริการสาธารณะที่ทรัพย์สินนั้นได้รับประโยชน์ ไม่ห้ามเจ้าของทรัพย์สินนำสืบถึงค่ารายปีของทรัพย์สินนอกเขตหน่วยงานปกครองส่วนท้องถิ่นมาเปรียบเทียบกันโดยคำนึงลักษณะและการใช้ประโยชน์ของทรัพย์สินได้ ทั้งศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษมิได้เทียบเคียงค่ารายปีทรัพย์สินอื่นซึ่งตั้งอยู่นอกเขตมาแก้ค่ารายปีทรัพย์สินของโจทก์โดยตรง เพียงแต่นำราคาค่าเช่ามาตรฐานกลางในเขตต่าง ๆ มาเปรียบเทียบกันเพื่อแสดงว่าราคาค่าเช่ามาตรฐานกลางของจำเลยยังไม่พอให้รับฟังได้ว่าเป็นอัตราที่สมควร คำพิพากษาศาลฎีกาที่จำเลยอ้างนั้นมีข้อเท็จจริงต่างจากคดีนี้ นอกจากนี้พื้นที่สำนักงาน คลังสินค้า และพื้นที่บริการอยู่ต่อเนื่องกันในอาคารเดียวกันมีที่ตั้งเดียวกัน ได้รับบริการสาธารณะเช่นเดียวกัน การนำพื้นที่มารวมเพื่อคำนวณค่ารายปีจึงชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยไม่มีเหตุพอที่จะเปลี่ยนแปลงผลคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษได้ ไม่เป็นกรณีที่คำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษได้วินิจฉัยข้อกฎหมายที่สำคัญขัดกันหรือขัดกับแนวบรรทัดฐานของ คำพิพากษาหรือคำสั่งศาลฎีกา และไม่เป็นกรณีที่การวินิจฉัยของศาลฎีกาจะเป็นการพัฒนาการตีความกฎหมาย อันไม่เป็นปัญหาสำคัญที่ศาลฎีกาควรวินิจฉัยตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. 2528 มาตรา 26 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคสอง (2) (5)
ครพ.ภษ. 9186/2566
การประเมินภาษีโรงเรือนและที่ดินของพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยและคำชี้ขาดของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครสำหรับห้องพักผู้ป่วยประจำปีภาษี ๒๕๖๐ ปีภาษี ๒๕๖๑ และปีภาษี ๒๕๖๒ ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้โจทก์เป็นเจ้าของทรัพย์สินดำเนินกิจการเองจึงเป็นกรณีที่หาค่าเช่าไม่ได้ พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยมีอำนาจประเมินค่ารายปีและค่าภาษีพิพาทโดยคำนึงถึงลักษณะของทรัพย์สิน ขนาด พื้นที่ ทำเลที่ตั้ง และบริการสาธารณะที่ทรัพย์สินนั้นได้รับประโยชน์ตามมาตรา ๘ แห่งพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ. ๒๔๗๕ ซึ่งจำเลยมีคำสั่งกรุงเทพมหานคร ที่ ๑๘๕๖/๒๕๕๐ เรื่อง การประเมินค่ารายปีของทรัพย์สินลงวันที่ ๒๕ พฤษภาคม ๒๕๕๐ และบันทึกข้อความของกรุงเทพมหานคร ที่ กท. ๑๓๐๒/๒๒๒ ลงวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๐ เรื่อง การกำหนดอัตราค่าเช่ามาตรฐานกลางเพื่อใช้ประกอบในการประเมินภาษีโรงเรือนและที่ดิน ข้อ ๑๙ โรงพยาบาล โพลีคลินิก ระบุให้พนักงานเจ้าหน้าที่กำหนดค่ารายปีโดยนำรายรับจริงจากค่าห้องพักผู้ป่วยรวมตลอดปี ตามรายละเอียดที่ผู้รับประเมินแจ้ง หรือตรวจสอบจากงบแสดงฐานะการเงินของโรงพยาบาลนั้น ๆ หักด้วยค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่รวมอยู่ด้วย (เช่น ค่าน้ำประปา ค่าไฟฟ้า ค่าโทรศัพท์ เฟอร์นิเจอร์ สิ่งอำนวยความสะดวกอื่น ๆ ในห้อง) ในอัตราร้อยละ ๒๐ อันเป็นวิธีการกำหนดค่ารายปีตามบันทึกข้อความดังกล่าวของจำเลยเพื่อให้พนักงานเจ้าหน้าที่ใช้เป็นแนวทางประกอบการประเมินค่ารายปีภาษีโรงเรือนและที่ดิน ซึ่งกำหนดอัตราค่าเช่ามาตรฐานกลางแบ่งตามประเภทของทรัพย์สินรวม ๑๙ ประเภท โดยโรงเรือนของโจทก์จัดอยู่ในประเภท ๑๙ และได้จำแนกประเภทโรงพยาบาล โพลีคลินิก ออกเป็น ๒ ประเภทอีกด้วย คือ ๑. โรงพยาบาล โพลีคลินิก ที่สร้างอาคารเอกเทศเป็นสถานพยาบาลขนาดใหญ่ และ ๒. โรงพยาบาล โพลีคลินิก ที่ดัดแปลงต่อเติมมาจากตึกแถว หลักเกณฑ์การกำหนดค่ารายปี พื้นที่ส่วนห้องพักผู้ป่วย ดังนั้น วิธีการกำหนดค่ารายปีของจำเลยตามบันทึกข้อความดังกล่าว จำเลยกำหนดขึ้นโดยคำนึงถึงลักษณะของทรัพย์สิน ขนาด พื้นที่ ทำเลที่ตั้ง และบริการสาธารณะที่ทรัพย์สินนั้นได้รับประโยชน์ซึ่งสอดคล้องกับหลักเกณฑ์ของมาตรา ๘ วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ. ๒๔๗๕ เพื่อให้พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยมีแนวทางปฏิบัติเดียวกันในการเรียกเก็บภาษีโรงเรือนและที่ดิน กรณีโรงเรือนที่มีลักษณะพิเศษที่หาค่าเช่าไม่ได้ หรือที่เจ้าของใช้ประกอบกิจการเอง แต่การประเมินค่ารายปีและค่าภาษีสำหรับปีภาษีพิพาทแก่โจทก์ พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยไม่ถือเป็นแนวทางปฏิบัติ โดยเมื่อพิเคราะห์บัญชีและเอกสารของโจทก์จะเห็นได้ว่า มีการลงรายการทางบัญชีแต่ละช่วงเวลาโดยระบุชื่อนามสกุลของผู้ป่วยไว้อย่างละเอียด มีการลงบัญชีแยกประเภทไว้อย่างสมบูรณ์โดยมีผู้สอบบัญชีรับอนุญาตรับรองความถูกต้อง และรายงานของผู้สอบบัญชีรับอนุญาตของ ส. (ไม่ปรากฏคำนำหน้าชื่อ) มีข้อมูลรายได้สุทธิสอดคล้องถูกต้องตรงกับงบการเงินซึ่งจำเลยไม่เคยโต้แย้งถึงความถูกต้องแท้จริงของเอกสารทางบัญชีของผู้สอบบัญชีรับอนุญาต จึงน่าเชื่อว่าโจทก์แสดงรายการรายรับจริงค่าห้องพักผู้ป่วยรวมตลอดปีตามแบบแสดงรายการเพื่อเสียภาษีโรงเรือนและที่ดิน ส่วนที่จำเลยโต้แย้งหรือนำสืบถึงความไม่น่าเชื่อถือของรายงานของผู้สอบบัญชีรับอนุญาตทั้งสามฉบับดังกล่าวนั้น เห็นว่า จำเลยไม่เคยเรียกโจทก์และผู้สอบบัญชีรับอนุญาตมาชี้แจงและไม่เคยถามค้านพยานโจทก์ทั้งสองปากถึงประเด็นดังกล่าว เพื่อให้พยานโจทก์ทั้งสองปากมีโอกาสได้ชี้แจงเกี่ยวกับรายงานของผู้สอบบัญชีรับอนุญาตที่จำเลยอ้างว่าไม่มีความน่าเชื่อถือแต่อย่างใด กรณีจึงไม่มีน้ำหนักให้รับฟัง ส่วนที่จำเลยอ้างว่าคณะกรรมการพิจารณาคำร้องขอให้พิจารณาการประเมินใหม่มีมติให้แก้ไขการประเมินของเจ้าพนักงานโดยกำหนดค่ารายปีจากจำนวนห้องพักผู้ป่วยและจำนวนเตียงคนไข้ที่มีการใช้งานในปี ๒๕๕๙ ปี ๒๕๖๐ และปี ๒๕๖๑ ตามข้อมูลที่โจทก์อ้างส่งนั้น เห็นว่า วิธีการที่จำเลยใช้กำหนดค่ารายปีเป็นการกำหนดค่ารายปีและค่าภาษีแตกต่างจากแนวปฏิบัติตามบันทึกข้อความของจำเลยประกอบกับนางสาว พ. พยานจำเลยเบิกความตอบทนายโจทก์ถามค้านว่า ไม่ได้เรียกโจทก์มาให้ถ้อยคำเกี่ยวกับรายรับต่าง ๆ แต่จำเลยยังคงถือตามการประเมินในชั้นพนักงานเจ้าหน้าที่ประเมินค่ารายปีโดยนำรายได้ในปีภาษีล่วงมาแล้วมาปรับเพื่อให้โจทก์เสียภาษีเพิ่มขึ้นโดยปีภาษี ๒๕๖๐ ปรับเพิ่มขึ้นร้อยละ ๐.๐๐๙๙ ปีภาษี ๒๕๖๑ ปรับเพิ่มขึ้นร้อยละ ๐.๐๐๙๘ และปีภาษี ๒๕๖๒ ยืนตามค่ารายปีเดิม ซึ่งเป็นการประเมินไม่ชอบ เมื่อคำชี้ขาดของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครยังคงนำการประเมินค่ารายปีที่ไม่ชอบโดยนำรายได้ค่าห้องพักซึ่งรวมค่าส่วนลดทางการค้าและค่าอุปกรณ์ทางการแพทย์อยู่ด้วยมาเป็นฐานในการประเมิน หาได้ประเมินตามแนวปฏิบัติโดยนำรายรับจริงค่าห้องพักผู้ป่วยรวมตลอดปีตามรายละเอียดที่ผู้ประเมินแจ้ง หรือตรวจสอบจากงบแสดงฐานะการเงินของสถานพยาบาลนั้น ๆ หักด้วยค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่รวมอยู่ เช่น ค่าน้ำประปา ค่าไฟฟ้า ค่าโทรศัพท์ เฟอร์นิเจอร์ และสิ่งอำนวยความสะดวกอื่น ๆ ในห้องในอัตราร้อยละ ๒๐ คำชี้ขาดของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครจึงไม่ชอบด้วย ซึ่งเป็นไปตามแนวคำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๒๑๓๙/๒๕๖๑ พิพาทกันประจำปีภาษี ๒๕๕๖ คำสั่งที่ ครพ.ภษ. ๓๒๕๒/๒๕๖๑ พิพาทกันประจำปีภาษี ๒๕๕๗ และคำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๒๑๕๔/๒๕๖๕ พิพาทกันประจำปีภาษี ๒๕๕๘, ๒๕๕๙ แม้ว่าผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษจะมีความเห็นแย้งในคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษก็ตาม แต่ความเห็นแย้งประเด็นแรกรวมอยู่ในประเด็นข้อพิพาทตามคำคู่ความที่ศาลภาษีอากรกลางกำหนดในชั้นชี้สองสถานแล้ว ส่วนประเด็นข้ออื่นตามความเห็นแย้งเป็นดุลพินิจในการรับฟังข้อเท็จจริง เมื่อไม่ปรากฏพฤติการณ์แห่งคดีว่าพื้นที่โรงเรือนพิพาทของโจทก์มีการเปลี่ยนแปลงลักษณะการใช้แตกต่างไปจากปีที่ผ่าน ๆ มาอย่างไร ความเห็นแย้งส่วนนี้จึงเป็นปัญหาเดิมที่ไม่มีผลเปลี่ยนแปลงแนวบรรทัดฐานของศาลฎีกา จึงถือไม่ได้ว่าเป็นความเห็นแย้งในสาระสำคัญ ฎีกาของจำเลยจึงไม่เป็นปัญหาที่เกี่ยวพันกับประโยชน์สาธารณะ หรือความสงบเรียบร้อยของประชาชน และไม่เป็นปัญหาสำคัญอื่นตามข้อกำหนดของประธานศาลฎีกา