ครพ.ภษ. 7718/2563
แบบพิมพ์ตามมาตรา 26 แห่งพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ.2475 คือ แบบ ภ.ร.ด. 9 ตามคำพิพากษาฎีกาที่ 2090/2553 ดังนั้น การโต้แย้งคัดค้านจะต้องทำเป็นหนังสือโดยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาการประเมินใหม่ คือแบบ ภ.ร.ด. 9 โดยเมื่อพิจารณาหนังสือที่โจทก์ยื่นต่อจำเลยฉบับลงวันที่ 4 พฤษภาคม 2559 ไม่ใช่แบบ ภ.ร.ด. 9 และมีข้อความไม่เป็นไปตามแบบที่กำหนดไว้ในแบบ ภ.ร.ด. 9 ซึ่งมีข้อความสำคัญที่ต้องระบุด้วยว่า ผู้รับประเมินพอใจให้ค่ารายปีและค่าภาษีเป็นจำนวนเงินเท่าใดหรือเหตุผลที่มีรายละเอียดในการโต้แย้งคัดค้านเมื่อโจทก์ไม่ได้ระบุถึงค่ารายปีและค่าภาษีที่พอใจหรือเหตุผลที่มีรายละเอียดในการโต้แย้งคัดค้าน คงมีข้อความระบุเพียงว่า โจทก์ได้สอบถามรายละเอียดการประเมินจากพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยพบว่าการประเมินมีการพิจารณาลักษณะโรงเรือน โดยแยกเป็นป้อมยาม ที่จอดรถจักรยานยนต์ ที่จอดรถยนต์ ห้องน้ำ สำนักงาน โรงอาหาร อาคารผลิต พื้นที่จัดส่ง พื้นที่วิศวกรรม พื้นที่เก็บวัสดุ พื้นที่สต๊อกของเสียและพื้นที่ต่อเนื่อง ซึ่งไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด ขอโปรดพิจารณาภาษีโรงเรือนใหม่ หนังสือของโจทก์ที่มีถึงจำเลยฉบับลงวันที่ 4 พฤษภาคม 2559 จึงไม่ถือเป็นคำร้องขอให้พิจารณาการประเมินใหม่และไม่อาจถือได้ว่าโจทก์ได้ยื่นคำร้องขอให้พิจารณาการประเมินใหม่ ดังนั้น เมื่อจำเลยแจ้งการประเมินโจทก์ใหม่ ตามใบแจ้งรายการประเมิน (ภ.ร.ด. 8) ฉบับลงวันที่ 1 สิงหาคม 2560 แต่โจทก์ไม่ได้ยื่นคำร้องขอให้พิจารณาการประเมินใหม่ภายในกำหนด 15 วัน นับแต่วันที่โจทก์ได้รับหนังสือ คือ วันที่ 2 สิงหาคม 2560 จำนวนภาษีที่ประเมินจึงเป็นจำนวนเด็ดขาด ตามพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดินพ.ศ. 2475 มาตรา 27 โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. 2528 มาตรา 7 (1) และมาตรา 8
ครพ.ภษ.6243/2567
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว คดีมีปัญหาตามที่โจทก์ขออนุญาตฎีกาว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องและจำเลยต้องคืนเงินภาษีโรงเรือนและที่ดิน ประจำปีภาษี ๒๕๔๙ ถึงปีภาษี ๒๕๕๙ และปีภาษี ๒๕๖๒ หรือไม่ พิเคราะห์แล้ว สำหรับการประเมินภาษีโรงเรือนและที่ดิน ประจำปีภาษี ๒๕๔๙ ถึงปีภาษี ๒๕๕๓ และปีภาษี ๒๕๕๖ ถึงปีภาษี ๒๕๕๙ เห็นว่า ฟ้องโจทก์ในคดีก่อนทั้ง ๕ สำนวน ตามคำสั่งของศาลฎีกาที่ ครพ.ภษ.๕๔๙๖ – ๕๕๐๐/๒๕๖๒ เป็นคดีที่โจทก์ฟ้องจำเลยและนายกเทศมนตรีนครแหลมฉบัง ขอให้เพิกถอนการประเมินภาษีโรงเรือนและที่ดิน และคำชี้ขาดคำร้องขอให้พิจารณาการประเมินใหม่รวม ๙ ปีภาษีดังกล่าว โดยยกข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาว่าโจทก์ไม่ต้องชำระภาษีโรงเรือนและที่ดิน ค่าตอบแทนประจำปี (Fixed Fee) มีมูลค่าทรัพย์สินทั้งหมดของท่าเทียบเรือ ซี ๓ รวมอยู่ด้วย ค่าตอบแทนประจำปีจึงไม่เหมาะสมที่นำมาคำนวณเป็นค่ารายปี ค่ารายปีที่เหมาะสม คือ การนำค่ารายปีของท่าเทียบเรือ บี ๕ ที่อยู่ติดกันมาเทียบเคียง การประเมินและคำชี้ขาดคำร้องขอให้พิจารณาการประเมินใหม่จึงไม่ชอบ ขอให้จำเลยคืนเงินค่าภาษีโรงเรือนและที่ดินให้แก่โจทก์ จำเลยทั้งสอง ทั้ง ๕ สำนวนให้การประการหนึ่งว่า การที่พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ ๑ ใช้เฉพาะค่าตอบแทนประจำปี (FixedFee) เป็นค่ารายปีถูกต้องแล้ว ไม่อาจนำวิธีการทำนองเดียวกับท่าเทียบเรือ บี ๕ มาคำนวณได้ และขอให้ยกฟ้อง คดีจึงมีประเด็นข้อพิพาทในส่วนนี้ว่า การประเมินภาษีโรงเรือนและที่ดิน โดยคำนวณค่ารายปีจากค่าตอบแทนประจำปี (Fixed Fee) เหมาะสมหรือไม่ ซึ่งศาลภาษีอากรกลางวินิจฉัยประเด็นนี้ว่า ค่าตอบแทนคงที่ (Fixed Fee) ถือเป็นค่าเช่าและเป็นจำนวนเงินซึ่งทรัพย์สินนั้นสมควรให้เช่าได้ในปีหนึ่ง ๆ กรณีจึงไม่อาจนำวิธีการทำนองเดียวกับท่าเทียบเรือ บี ๕ มาคำนวณได้ และพิพากษายกฟ้องโจทก์ ทั้ง ๕ สำนวน ซึ่งต่อมาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษพิพากษายืน และศาลฎีกามีคำสั่งศาลฎีกาที่ ครพ.ภษ.๕๔๙๖ - ๕๕๐๐/๒๕๖๒ ไม่อนุญาตให้โจทก์ฎีกา คำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษจึงถึงที่สุดแล้ว ส่วนคดีนี้โจทก์ฟ้องว่า จากคำวินิจฉัยตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษและคำสั่งศาลฎีกาในคดีก่อนสรุปได้ว่า สัญญาร่วมลงทุน บริหาร และประกอบการท่าเทียบเรือตู้สินค้า ซี ๓ มีลักษณะสำคัญรวมสัญญาเช่าอยู่ด้วย แต่ศาลไม่ได้วินิจฉัยว่าส่วนใดที่เป็นสัญญาเช่ามากน้อยเพียงใด ส่วนใดที่เป็นสัญญาเช่าต่างตอบแทนพิเศษ หรือส่วนใดเป็นสัญญาที่มีวัตถุประสงค์พิเศษอย่างอื่น การที่พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยนำค่าตอบแทนประจำปี (Fixed Fee) ซึ่งคำนวณมาจากการใช้ทรัพย์ทั้งหมดตามสัญญามากำหนดเป็นผลประโยชน์ตอบแทนที่การท่าเรือได้รับในลักษณะเป็นค่าเช่าตามสัญญามาประเมินภาษีโจทก์นั้นไม่ถูกต้อง การคำนวณภาษีต้องคำนวณจากการใช้ทรัพย์สินของการท่าเรือแห่งประเทศไทย ร้อยละ ๑๒.๖๕๖ จำเลยจะต้องคืนภาษีส่วนเกินพร้อมดอกเบี้ย จึงเป็นกรณีที่โจทก์อ้างเหตุเพื่อให้ศาลพิจารณาว่าสมควรกำหนดค่ารายปีเป็นจำนวนเท่าใด คดีนี้จึงมีประเด็นข้อพิพาทว่าการประเมินภาษีโรงเรือนและที่ดิน โดยกำหนดค่ารายปีจากค่าตอบแทนประจำปี (Fixed Fee) เหมาะสมหรือไม่ ซึ่งเป็นประเด็นข้อพิพาทเดียวกันกับคดีก่อนที่ศาลภาษีอากรกลางได้วินิจฉัยไว้แล้ว และต่อมาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดยืนตามศาลภาษีอากรกลางให้ยกฟ้องโจทก์ แม้โจทก์นำคดีมาฟ้องใหม่ โดยเพิ่มเติมเหตุผลจากคดีเดิมว่า การคำนวณภาษีต้องคำนวณจากการใช้ทรัพย์สินของการท่าเรือแห่งประเทศไทย ร้อยละ ๑๒.๖๕๖ ฟ้องโจทก์ในคดีนี้ก็ยังมีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกับคดีก่อน จึงเป็นฟ้องซ้ำกับคดีก่อน ต้องห้ามมิให้คู่ความเดียวกันรื้อร้องฟ้องกันอีก ในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๔๘ ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. ๒๕๒๘ มาตรา ๑๗
สำหรับการประเมินภาษีโรงเรือนและที่ดิน ประจำปีภาษี ๒๕๕๔ และปีภาษี ๒๕๕๕ เห็นว่า แม้โจทก์และจำเลยในคดีนี้จะเป็นคู่ความเดียวกันกับคู่ความในคดีที่ศาลฎีกามีคำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๔๒๗๓/๒๕๖๐ แต่ในคดีดังกล่าว ศาลฎีกาได้วินิจฉัยว่า โจทก์ยังไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยว่าการประเมินค่ารายปีของท่าเทียบเรือ ซี ๓ สูงเกินสมควรเพราะยังไม่ปรากฏว่าการท่าเรือแห่งประเทศไทยนำเรื่องเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาลดหย่อนค่ารายปีตามพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ. ๒๔๗๕
มาตรา ๓๑ วรรคท้าย เท่ากับศาลฎีกาในคดีก่อนยังไม่ได้วินิจฉัยชี้ขาดในประเด็นข้อพิพาทอันเป็นเนื้อหาแห่งคดีเรื่องค่ารายปีสูงเกินสมควรหรือไม่ ฟ้องโจทก์คดีนี้จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำกับคดีตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๔๒๗๓/๒๕๖๐ เมื่อต่อมาการท่าเรือแห่งประเทศไทยได้ยื่นเรื่องขอลดหย่อนค่ารายปีต่อคณะรัฐมนตรี และการท่าเรือแห่งประเทศไทยได้มีหนังสือแจ้งมติคณะรัฐมนตรีที่เสนอเรื่องขอลดหย่อนค่ารายปีภาษีโรงเรือนและที่ดินประจำปีภาษี ๒๕๔๙ ถึงปีภาษี ๒๕๕๘ ลงวันที่ ๑๐ ตุลาคม๒๕๕๙ มายังโจทก์ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องเรื่องการประเมินภาษีโรงเรือนและที่ดินในประเด็นนี้ สำหรับปีภาษี ๒๕๕๔ และปีภาษี ๒๕๕๕ อย่างไรก็ดี เมื่อวินิจฉัยข้างต้นแล้วว่า ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดตามคดีหมายเลขแดงที่ ๓๙๒๖ - ๓๙๓๐/๒๕๖๑ ให้ยกฟ้องโจทก์ที่ฟ้องขอให้เพิกถอนการประเมินภาษีโรงเรือนและที่ดินและคำชี้ขาดคำร้องขอให้พิจารณาการประเมินใหม่ประจำปีภาษี ๒๕๔๙ ถึงปีภาษี ๒๕๕๓ และปีภาษี ๒๕๕๖ ถึงปีภาษี ๒๕๕๙ และศาลฎีกามีคำสั่งไม่อนุญาตให้โจทก์ฎีกาและไม่ปรากฏพฤติการณ์แห่งคดีว่าพื้นที่โรงเรือนของโจทก์ปีภาษี ๒๕๕๔ และปีภาษี ๒๕๕๕ มีการเปลี่ยนแปลงลักษณะการใช้แตกต่างไปจากปีภาษี ๒๕๔๙ ถึงปีภาษี ๒๕๕๓ แต่อย่างใด ฎีกาของโจทก์ในส่วนการประเมินภาษีโรงเรือนและที่ดินประจำปีภาษี ๒๕๕๔ และปีภาษี ๒๕๕๕ จึงไม่อาจเปลี่ยนแปลงผลของคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ
สำหรับการประเมินภาษีโรงเรือนและที่ดินประจำปีภาษี ๒๕๖๒ โจทก์ได้ยื่นฟ้องคดีต่อศาลภาษีอากรกลางเป็นคดีหมายเลขดำที่ ภ ๑๘๘/๒๕๖๒ ต่อมาโจทก์ขอถอนฟ้อง ศาลภาษีอากรกลางมีคำสั่งอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้อง ตามคดีหมายเลขแดงที่ ภ ๔๙/๒๕๖๓ เห็นว่า แม้ศาลภาษีอากรกลางยังไม่ได้วินิจฉัยประเด็นข้อพิพาทแห่งคดีในคดีที่โจทก์ถอนฟ้อง จึงไม่ห้ามให้โจทก์นำมูลคดีเดียวกันกับคดีดังกล่าวมาฟ้องจำเลยใหม่และไม่เป็นฟ้องซ้ำ อย่างไรก็ตาม คำฟ้องของโจทก์คดีนี้ โจทก์อ้างเหตุเพื่อให้ศาลพิจารณาว่าสมควรกำหนดค่ารายปีเป็นจำนวนเท่าใด เป็นกรณีที่โจทก์เห็นว่าจำนวนเงินที่พนักงานเจ้าหน้าที่ประเมินไว้และมีคำชี้ขาดแล้วนั้นมีจำนวนสูงเกินสมควร จึงเป็นกรณีที่การท่าเรือแห่งประเทศไทยจะต้องนำเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำชี้ขาดตามพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ. ๒๔๗๕ มาตรา ๓๑ วรรคท้าย เมื่อไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่า การท่าเรือแห่งประเทศไทยได้นำเรื่องเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาลดหย่อนค่ารายปีสำหรับปีภาษี ๒๕๖๒ การท่าเรือแห่งประเทศไทยจึงยังไม่มีอำนาจฟ้อง และโจทก์ซึ่งเป็นผู้มีส่วนได้เสียในฐานะผู้ชำระค่าภาษีโรงเรือนและที่ดินแทนการท่าเรือแห่งประเทศไทย ย่อมไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยเช่นเดียวกับการท่าเรือแห่งประเทศไทย ฎีกาของโจทก์ในส่วนนี้จึงไม่อาจเปลี่ยนแปลงผลคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษเช่นกัน ฎีกาของโจทก์จึงไม่เป็นปัญหาสำคัญที่ศาลฎีกาควรวินิจฉัย
ครพ.ภษ.8174/2567
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว คดีมีปัญหาตามที่โจทก์ขออนุญาตฎีกาว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องและจำเลยต้องคืนเงินภาษีโรงเรือนและที่ดิน ประจำปีภาษี ๒๕๖๐ และปีภาษี ๒๕๖๑ หรือไม่ พิเคราะห์แล้ว สำหรับการประเมินภาษีโรงเรือนและที่ดิน ประจำปีภาษี ๒๕๖๐ และปีภาษี ๒๕๖๑ เห็นว่า ในคดีก่อนตามคำสั่งของศาลฎีกาที่ ครพ.ภษ.๖๓๑๖/๒๕๖๓ และครพ.ภษ.๑๐๐๐/๒๕๖๔ เป็นคดีที่โจทก์ฟ้องจำเลยขอให้เพิกถอนการประเมินภาษีโรงเรือนและที่ดิน และคำชี้ขาดคำร้องขอให้พิจารณาการประเมินใหม่รวม ๒ ปีภาษีดังกล่าว โดยยกข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาว่า โจทก์ทำสัญญาลงทุน บริหาร และประกอบการท่าเทียบเรือตู้สินค้า ซี ๓ กับการท่าเรือแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นโครงการลงทุนในกิจการของรัฐ จึงเป็นสัญญาสัมปทานไม่ใช่สัญญาเช่าทรัพย์สิน การท่าเรือแห่งประเทศไทยได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีโรงเรือนและที่ดิน โจทก์ไม่ต้องชำระค่าภาษีโรงเรือนและที่ดินแทนการท่าเรือแห่งประเทศไทยให้แก่จำเลย ขอให้เพิกถอนการประเมินและคำชี้ขาดคำร้องขอให้พิจารณาการประเมินใหม่ และให้จำเลยคืนเงินค่าภาษีโรงเรือนและที่ดินให้แก่โจทก์ จำเลยทั้ง ๒ สำนวนให้การขอให้ยกฟ้อง คดีมีประเด็นข้อพิพาทในส่วนนี้ว่า การท่าเรือแห่งประเทศไทยได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีโรงเรือนและที่ดินหรือไม่ ซึ่งศาลฎีกามีคำสั่งไม่อนุญาตให้โจทก์ฎีกา ยกคำร้อง และไม่รับฎีกาของโจทก์ โดยวินิจฉัยว่า สัญญาลงทุน บริหาร และประกอบการท่าเรือตู้สินค้า ซี ๓ มีสาระสำคัญที่การท่าเรือแห่งประเทศไทยยอมให้โจทก์ใช้ทรัพย์สินและโจทก์มีหน้าที่ดูแลรักษากับเอาประกันภัยทรัพย์สินนั้นเพื่อประโยชน์ของการท่าเรือแห่งประเทศไทย และยังมีการกำหนดค่าตอบแทนที่โจทก์ต้องชำระแก่การท่าเรือแห่งประเทศไทย อันแสดงถึงสิทธิและหน้าที่ของการท่าเรือแห่งประเทศไทยและโจทก์เป็นเช่นเดียวกับสิทธิและหน้าที่ของผู้ให้เช่าและผู้เช่าตามสัญญาเช่าทรัพย์ดังนั้น ไม่ว่าบรรดาวัตถุประสงค์ของสัญญานี้จะมีบางส่วนเป็นสัญญาสัมปทานหรือไม่ก็ตาม แต่ก็มีส่วนที่มีวัตถุประสงค์เป็นการเช่าทรัพย์สินของการท่าเรือแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นทรัพย์สินที่มีการประเมินเรียกเก็บภาษีโรงเรือนและที่ดินรวมอยู่ด้วย จึงมีผลให้การท่าเรือแห่งประเทศไทยไม่ได้รับการยกเว้นจากการเสียภาษีโรงเรือนและที่ดินในทรัพย์สินดังกล่าว ส่วนคดีนี้โจทก์ฟ้องว่า จากคำวินิจฉัยตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษและคำสั่งศาลฎีกาในคดีก่อนสรุปได้ว่า สัญญาลงทุน บริหารและประกอบการท่าเทียบเรือตู้สินค้า ซี ๓ มีลักษณะสำคัญรวมสัญญาเช่าอยู่ด้วย โจทก์เห็นว่าข้อสัญญาที่กำหนดให้ทรัพย์สินของโจทก์ที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานเพิ่มเติม สิ่งอำนวยความสะดวก เครื่องมือที่โจทก์จัดหามาใช้งานในท่าเทียบเรือตลอดอายุสัญญาตกเป็นของการท่าเรือแห่งประเทศไทย ข้อสัญญานี้จึงเป็นสัญญาต่างตอบแทนพิเศษยิ่งกว่าสัญญาเช่าธรรมดา ซึ่งประเด็นนี้ทั้งสามศาลไม่ได้วินิจฉัยว่าส่วนใดที่เป็นสัญญาเช่ามากน้อยเพียงใด ส่วนใดที่เป็นสัญญาเช่าต่างตอบแทนพิเศษ หรือส่วนใดเป็นสัญญาที่มีวัตถุประสงค์พิเศษอย่างอื่น การที่พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยนำค่าตอบแทนประจำปี (Fixed Fee) ซึ่งคำนวณมาจากการใช้ทรัพย์ทั้งหมดตามสัญญามากำหนดเป็นผลประโยชน์ตอบแทนที่การท่าเรือได้รับในลักษณะเป็นค่าเช่าตามสัญญามาประเมินภาษีโจทก์นั้นไม่ถูกต้อง การคำนวณภาษีต้องคำนวณจากการใช้ทรัพย์สินของการท่าเรือแห่งประเทศไทยร้อยละ ๑๒.๖๕๖ จำเลยจะต้องคืนภาษีส่วนเกินพร้อมดอกเบี้ย จึงเป็นกรณีที่โจทก์อ้างเหตุเพื่อให้ศาลพิจารณาว่าสมควรกำหนดค่ารายปีเป็นจำนวนเท่าใด และเป็นกรณีที่โจทก์เห็นว่าจำนวนค่ารายปีที่พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยประเมินไว้และตามคำชี้ขาดมีจำนวนสูงเกินสมควร ดังนั้น เมื่อตามคำฟ้องของโจทก์คดีนี้เป็นกรณีที่โจทก์อ้างเหตุเพื่อให้ศาลพิจารณาว่าสมควรกำหนดค่ารายปีเป็นจำนวนเท่าใด โดยเป็นกรณีที่โจทก์เห็นว่าจำนวนค่ารายปีที่พนักงานเจ้าหน้าที่ประเมินไว้และมีคำชี้ขาดนั้นมีจำนวนสูงเกินสมควร จึงเป็นกรณีที่การท่าเรือแห่งประเทศไทยจะต้องนำเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำชี้ขาดตาม พ.ร.บ.ภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ. ๒๔๗๕ มาตรา ๓๑ วรรคท้าย เมื่อไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่า การท่าเรือแห่งประเทศไทยได้นำเรื่องเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาลดหย่อนค่ารายปี สำหรับปีภาษี ๒๕๖๐ และปีภาษี ๒๕๖๑ ตามบทบัญญัติดังกล่าว การท่าเรือแห่งประเทศไทยจึงไม่มีอำนาจฟ้อง และโจทก์ย่อมไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยเช่นเดียวกับการท่าเรือแห่งประเทศไทย ข้ออ้างของโจทก์จึงไม่อาจเปลี่ยนแปลงผลคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษฎีกาของโจทก์จึงไม่เป็นปัญหาสำคัญที่ศาลฎีกาควรวินิจฉัย