ครพ.ภษ. 1904/2564
ในการทำธุรกรรมตามที่โจทก์นำสืบว่า บริษัท ท. จ่ายค่านายหน้าและค่าส่งเสริมการขายให้แก่โจทก์รวมอัตราร้อยละ 29 ของเบี้ยประกันภัยทั้งหมด และโจทก์จะต้องจ่ายค่าส่งเสริมการขายกลับไปให้ธนาคาร ก. ในอัตราร้อยละ 20 นั้น โจทก์ไม่มีพยานหลักฐานใดพิสูจน์ว่าโจทก์จ่ายค่านายหน้าและค่าส่งเสริมการขายให้แก่ธนาคาร ก. จริงตามอ้าง แต่กลับปรากฏตามใบเสร็จรับเงินธนาคาร ก. ได้รับค่านายหน้าและค่าส่งเสริมการขายโดยการหักจากเงินค่าเบี้ยประกันภัยพร้อมออกใบเสร็จรับเงินให้แก่บริษัท ท. ไม่ใช่โจทก์ โจทก์จึงไม่อาจอ้างการจ่ายเงินตามใบเสร็จรับเงินของบริษัท ท. มาเป็นรายจ่ายของโจทก์ และนาง ก. ผู้ช่วยผู้อำนวยการสำนักพัฒนาธุรกิจประกันภัยของธนาคาร ก. พยานโจทก์เบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านว่า ธนาคาร ก. ไม่ได้มีข้อตกลงหรือความสัมพันธ์ใดกับโจทก์ และธนาคาร ก. ไม่เคยออกใบเสร็จรับเงินเป็นค่าส่งเสริมการขายให้แก่โจทก์ เจือสมกับข้อนำสืบของจำเลยที่ว่าโจทก์ไม่มีเอกสารหลักฐานยืนยันการจ่ายเงินและหลักฐานแสดงว่าผู้ใดเป็นผู้รับเงิน พยานหลักฐานโจทก์ที่นำสืบมาจึงรับฟังไม่ได้ตามที่โจทก์อ้าง การที่บริษัท ท. ไม่อาจนำใบเสร็จรับเงินที่ธนาคาร ก. ออกให้ไปหักเป็นรายจ่ายของบริษัท ท. ก็ไม่ใช่เหตุให้โจทก์นำมาอ้างเป็นรายจ่ายทางภาษีของโจทก์ได้ พยานหลักฐานโจทก์ที่นำสืบมาจึงรับฟังไม่ได้ว่ารายจ่ายค่าส่งเสริมการขายเป็นรายจ่ายที่มีการจ่ายจริงและพิสูจน์ได้ว่ามีผู้รับจริงตามประมวลรัษฎากร มาตรา 65 ตรี (9) และ (18) เอกสารการบันทึกข้อมูลทางบัญชีเบื้องต้นของโจทก์ระบุถึงรายจ่ายส่งเสริมการขายว่า “เป็นค่าใช้จ่ายที่ไม่ถูกต้องตามประมวลรัษฎากร” ตามบันทึกข้อมูลรายวัน การที่คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ได้พิจารณาลดเบี้ยปรับแก่โจทก์ คงเรียกเก็บเพียงร้อยละ 50 ของเบี้ยปรับตามกฎหมายนั้น เหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งคดีและนับว่าเป็นคุณแก่โจทก์มากแล้ว ไม่มีเหตุที่จะลดหรืองดเบี้ยปรับและเงินเพิ่มแก่โจทก์อีก ฎีกาของโจทก์ไม่อาจมีผลเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญในคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ ไม่เป็นปัญหาสำคัญที่ศาลฎีกาควรวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. 2528 มาตรา 26
ครพ.ภษ. 1950/2564
เมื่อการซื้อขายหุ้นและการเพิ่มทุนเป็นการทำธุรกรรมในกลุ่มบริษัทที่มีความสัมพันธ์ระหว่างกันในการจัดการ ในการควบคุม หรือโดยการร่วมทุนอันเป็นกลุ่มบริษัทที่ไม่มีอิสระต่อกัน โจทก์กล่าวอ้างข้อเท็จจริงว่าเป็นการซื้อหุ้นและเพิ่มทุนตามราคาตลาด โจทก์จึงมีภาระการพิสูจน์ข้อเท็จจริงนี้ หากโจทก์ไม่ได้นำสืบผู้จัดทำรายงานประมาณราคาหุ้นให้เห็นว่าเป็นราคาตลาดอันเป็นราคาเดียวกันกับราคาขายแก่คู่สัญญาที่เป็นอิสระต่อกันและแม้วิธีการคำนวณเพื่อให้ได้มาซึ่งราคาหุ้น เพื่อให้ได้มาซึ่งราคาตลาดจะเป็นหลักเกณฑ์วิธีการที่รับรองกันทั่วไป แต่ข้อมูลที่ได้มาจากกลุ่มคู่สัญญาที่ไม่เป็นอิสระต่อกันและไม่จำต้องตรวจสอบความถูกต้องย่อมทำให้ประมาณการผิดพลาดคลาดเคลื่อน พยานหลักฐานโจทก์ยังไม่พอฟังว่าราคาหุ้นที่โจทก์ซื้อและการเพิ่มทุนเป็นราคาตลาด เมื่อเจ้าพนักงานประเมินมีเหตุควรสงสัยว่าข้อมูลเพื่อให้ได้มาซึ่งราคาตลาดของการจัดทำธุรกรรมของกิจการในกลุ่มเดียวกัน ราคาหุ้นดังกล่าวไม่ใช่ราคาตลาด และเจ้าพนักงานประเมินใช้คำสั่งกรมสรรพากรที่ ป.113/2545 เรื่อง การเสียภาษีเงินได้ของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลกรณีการกำหนดราคาโอนให้เป็นไปตามราคาตลาด และคำวินิจฉัยของคณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากร ที่ 28/2538 เรื่อง ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาการเสียภาษีกรณีที่ได้รับแจกหุ้นหรือได้ซื้อหุ้นในราคาต่ำกว่าราคาตลาดตามข้อตกลงพิเศษเป็นแนวทางในการตรวจสอบไต่สวนและประเมินภาษีแก่โจทก์ แม้เป็นคดีมีทุนทรัพย์สูงแต่ด้วยเหตุผลดังกล่าวกรณีจึงไม่เป็นปัญหาสำคัญที่ศาลฎีกาควรวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคสอง (2) (3) (5) ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. 2528 มาตรา 26
ครพ.ภษ. 4283/2565
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ฎีกาของโจทก์ที่ว่ารายจ่ายค่าเช่ารถยนต์ ค่าน้ำมัน และค่าทางด่วนที่โจทก์จ่ายให้แก่นาย ก. ในรอบระยะเวลาบัญชีตามฟ้องเป็นรายจ่ายต้องห้ามตามประมวลรัษฎากร มาตรา ๖๕ ตรี (๙) และ (๑๘) หรือไม่ เห็นว่า ทางนำสืบของโจทก์มีรายละเอียดข้อมูลที่เกี่ยวกับนาย ก. เพียงสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของนาย ก. และบิลเงินสดที่นาย ก. ทำเรื่องเบิกเงินจากโจทก์ที่ปรากฏแต่ชื่อของนาย ก. เท่านั้น โดยโจทก์ไม่สามารถนำตัวนาย ก. มาให้ถ้อยคำในชั้นตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ของจำเลยเพื่อยืนยันว่ามีการรับเงินตามบิลเงินสดที่โจทก์นำมาแสดงได้ ซึ่งเป็นข้อพิรุธเพราะโจทก์และนาย ก. ติดต่อทำธุรกิจกันมาเป็นระยะเวลานาน ประกอบกับไม่ปรากฏว่าโจทก์กับนาย ก. มีการทำหลักฐานเอกสารการเช่ากันเป็นลายลักษณ์อักษร ซึ่งเป็นการผิดปกติวิสัยของการทำธุรกิจให้เช่ารถยนต์จำนวนมากเมื่อเจ้าหน้าที่ของจำเลยตรวจปฏิบัติการสอบยัน ณ ภูมิลำเนาของนาย ก. ก็ไม่สามารถเข้าตรวจได้ รวมทั้งไม่มีลักษณะเป็นสถานประกอบการ ไม่มีผู้ใดพักอาศัยและไม่พบตัวนาย ก. โจทก์มีหน้าที่พิสูจน์ให้ได้ว่านาย ก. เป็นผู้ให้เช่ารถยนต์และรับเงินค่าเช่ารถยนต์ ค่าน้ำมัน และค่าทางด่วนจริง ทางนำสืบของโจทก์จึงยังไม่พอให้รับฟังว่านาย ก. เป็นผู้ให้เช่ารถยนต์ที่แท้จริง เพราะหากนาย ก. เป็นผู้ให้เช่ารถยนต์แล้วน่าจะมีรายละเอียดเกี่ยวกับนาย ก. มากกว่าพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบ พยานหลักฐานของโจทก์มีน้ำหนักน้อยกว่าพยานหลักฐานของจำเลย รายจ่ายที่โจทก์จ่ายให้นาย ก. เป็นค่าเช่ารถยนต์ ค่าน้ำมัน และค่าทางด่วน ตามรอบระยะเวลาบัญชีพิพาทเป็นรายจ่ายซึ่งกำหนดขึ้นเองโดยไม่มีการจ่ายจริงและพิสูจน์ไม่ได้ว่าใครเป็นผู้รับเป็นรายจ่ายต้องห้ามตามประมวลรัษฎากร มาตรา ๖๕ ตรี (๙) และ (๑๘) ฎีกาของโจทก์ไม่อาจเปลี่ยนแปลงผลคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษได้ จึงไม่เป็นปัญหาที่เกี่ยวพันกับประโยชน์สาธารณะ หรือความสงบเรียบร้อยของประชาชน และไม่เป็นกรณีที่การวินิจฉัยของศาลฎีกาจะเป็นการพัฒนาการตีความกฎหมายอันไม่เป็นปัญหาสำคัญที่ศาลฎีกาควรวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๔๙ วรรคสอง (๑) (๕) ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. ๒๕๒๘ มาตรา ๒๖