ครพ.ภษ. 11978/2563
แม้คำขอจดทะเบียนบริษัทจำกัด หนังสือบริคณห์สนธิคำขอแก้ไขเพิ่มเติมหนังสือบริคณห์สนธิ หนังสือรับรองการจดทะเบียนนิติบุคคล และคำขอจดทะเบียนเลิกและชำระบัญชีของจำเลยที่ 1 จะมีชื่อของจำเลยที่ 2 เป็นกรรมการและผู้ชำระบัญชี ซึ่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 127 ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นของแท้จริงและถูกต้อง แต่ไม่ใช่ข้อสันนิษฐานเด็ดขาด จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นคู่ความฝ่ายที่ถูกอ้างเอกสารนั้นมายันสามารถนำสืบความไม่ถูกต้องแห่งเอกสารได้ คดีนี้ จำเลยที่ 2 อ้างตนเองเบิกความเป็นพยานประกอบพยานเอกสารว่า เมื่อเดือนเมษายน 2556 นางสาว น. และนาย ส. ซึ่งเป็นคนรู้จักกันได้มาหาจำเลยที่ 2 ที่บ้าน พูดจาหว่านล้อมให้จำเลยที่ 2 มอบสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนและสำเนาทะเบียนบ้านให้ บอกว่าจะเอาไปเป็นสถิติข้อมูลลูกค้าของพี่สาวนาย ส. จำเลยที่ 2 หลงเชื่อจึงได้มอบสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนและสำเนาทะเบียนบ้านให้บุคคลทั้งสองไป จำเลยที่ 2 ไม่ได้เป็นผู้จดทะเบียนจัดตั้งบริษัทจำเลยที่ 1 ไม่ได้จดทะเบียนแก้ไขหนังสือบริคณห์สนธิ ทั้งไม่ได้จดทะเบียนเลิกและชำระบัญชีของจำเลยที่ 1 เอกสารที่เกี่ยวข้องก็ไม่ใช่ลายมือชื่อของจำเลยที่ 2 ซึ่งส่วนลายมือชื่อที่ปรากฏเอกสารดังกล่าวก็ได้ความจากผลการตรวจพิสูจน์ลายมือชื่อที่สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรม ซึ่งคู่ความไม่ได้โต้แย้งคัดค้านระบุความเห็นของผู้เชี่ยวชาญว่า การเปรียบเทียบลายมือชื่อตามเอกสารพิพาทกับลายมือชื่อของจำเลยที่ 2 มีคุณสมบัติของการเขียนรูปลักษณะตัวอักษรแตกต่างกัน และลงความเห็นว่าไม่ใช่ลายมือชื่อของบุคคลเดียวกัน ปรากฏตามรายงานการตรวจพิสูจน์พยานเอกสารและตัวอย่างภาพแสดงประกอบรายงานผลการตรวจพิสูจน์ อันสอดคล้องกับที่จำเลยที่ 2 เบิกความว่า ลายมือชื่อในเอกสารดังกล่าวไม่ใช่ลายมือชื่อของจำเลยที่ 2 ซึ่งโจทก์เองก็ยอมรับว่าจำเลยที่ 2 ไม่ได้ลงลายมือชื่อในเอกสารดังกล่าว เมื่อรับฟังประกอบผลการตรวจพิสูจน์ สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ซึ่งกระทำโดยหน่วยงานราชการ จึงน่าเชื่อว่าลายมือชื่อที่ปรากฏในเอกสารพิพาท ไม่ใช่ลายมือชื่อของจำเลยที่ 2 พยานหลักฐานของจำเลยที่ 2 จึงรับฟังหักล้างข้อสันนิษฐานตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 127 และมีน้ำหนักดีกว่าพยานหลักฐานโจทก์เมื่อการจดทะเบียนบริษัท การจดทะเบียนเลิกบริษัทและการชำระบัญชีของจำเลยที่ 1 ไม่เกี่ยวข้องกับจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 จึงไม่มีหน้าที่ใช้หนี้ค่าภาษีของจำเลยที่ 1 และมิได้กระทำการใด ๆ อันเป็นการละเมิดต่อโจทก์ ฎีกาของโจทก์จึงไม่เป็นปัญหาสำคัญที่ศาลฎีกาควรวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคสอง (1) (2) ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. 2528 มาตรา 26
ครพ.ภษ. 6621/2564
แม้หนังสือรับรองการจดทะเบียนนิติบุคคลของจำเลยที่ ๑ จะระบุว่าจำเลยที่ ๒ เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการและเป็นผู้ชำระบัญชีเป็นเอกสารมหาชน ซึ่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๒๗ ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นของแท้จริงและถูกต้อง แต่ไม่ใช่ข้อสันนิษฐานเด็ดขาด เมื่อจำเลยที่ ๒ นำสืบว่า ลายมือชื่อแท้จริงของจำเลยที่ ๒ เป็นการเขียนชื่อไม่ใช่การเซ็นชื่อ ตามที่ปรากฏในคำขอเปิดบัญชีธนาคารออมสิน สาขาธาตุพนม คำขอเปิดบัญชีเงินฝากบุคคลธรรมดาพร้อมบัตรตัวอย่างลายมือชื่อของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร สาขาธาตุพนม แบบคำขอรับใบอนุญาต กรมการขนส่งทางบก คำขอมีบัตร มีบัตรใหม่ หรือเปลี่ยนบัตรประจำตัวประชาชน และตัวอย่างลายมือชื่อที่เขียนในกระดาษหมายเลข ๔๐ ก. ซึ่งตามรายงานผลการตรวจพิสูจน์พยานเอกสาร กองตรวจพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรมระบุว่า ลายมือชื่อที่เป็นการเขียนชื่อกำกับในสำเนาใบแจ้งผลการจองชื่อนิติบุคคลเปรียบเทียบกับตัวอย่างลายมือชื่อในแบบคำขอเปิดบัญชีธนาคารออมสิน ลายมือชื่อในบัตรตัวอย่างลายมือชื่อธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ลายมือชื่อในแบบคำขอรับใบอนุญาต กรมการขนส่งทางบก ลายมือชื่อในคำขอมีบัตร มีบัตรใหม่ หรือเปลี่ยนบัตรประจำตัวประชาชน และตัวอย่างลายมือชื่อที่เขียนไว้ในกระดาษหมายเลข ๔๐ ก. มีคุณสมบัติของการเขียน รูปลักษณะของลายมือชื่อแตกต่างกัน น่าจะไม่ใช่ลายมือชื่อของบุคคลคนเดียวกันส่วนลายมือชื่อในสำเนาใบแจ้งผลการจองชื่อนิติบุคคล คำขอจดทะเบียนบริษัทจำกัด คำขอแก้ไขเพิ่มเติมหนังสือบริคณห์สนธิและคำขอจดทะเบียนเลิกและชำระบัญชีกับตัวอย่างลายมือชื่อในแบบคำขอเปิดบัญชีธนาคารออมสิน ลายมือชื่อในบัตรตัวอย่างลายมือชื่อธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ลายมือชื่อในแบบคำขอรับใบอนุญาต กรมการขนส่งทางบก ลายมือชื่อในคำขอมีบัตร มีบัตรใหม่ หรือเปลี่ยนบัตรประจำตัวประชาชน และตัวอย่างลายมือชื่อที่เขียนไว้ในกระดาษหมายเลข ๔๐ ก. มีลักษณะของการเขียนเป็นคนละแบบกัน ในกรณีนี้จึงไม่อาจจะตรวจพิสูจน์เปรียบเทียบเพื่อลงความเห็นให้เป็นหลักฐานอย่างหนึ่งอย่างใดได้ เห็นได้ว่า ผลการตรวจพิสูจน์ดังกล่าวสอดคล้องกับทางนำสืบของจำเลยที่ ๒ ว่า จำเลยที่ ๒ ไม่เคยลงลายมือชื่อด้วยการเซ็นชื่อแต่จะลงลายมือชื่อด้วยการเขียนชื่อในเอกสาร ประกอบกับเมื่อจำเลยที่ ๒ ได้รับหมายเรียกจากโจทก์มาให้ถ้อยคำและส่งเอกสารในฐานะเป็นผู้ชำระบัญชีของจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๒ ไปแจ้งความกับเจ้าพนักงานตำรวจภูธรธาตุพนมไว้เป็นหลักฐานว่าจำเลยที่ ๒ ไม่เคยทำนิติกรรมต่าง ๆ กับบริษัทจำเลยที่ ๑ พยานหลักฐานที่จำเลยที่ ๒ นำสืบมาจึงมีน้ำหนักหักล้างข้อสันนิษฐานตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๒๗ ที่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษวินิจฉัยมาว่า จำเลยที่ ๒ ไม่ใช่ผู้ชำระบัญชีของจำเลยที่ ๑ จึงไม่ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ ๑ จึงชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ไม่เป็นปัญหาที่เกี่ยวพันกับประโยชน์สาธารณะหรือความสงบเรียบร้อยของประชาชนอันไม่เป็นปัญหาสำคัญที่ศาลฎีกาควรวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๔๙ วรรคสอง (๑) ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. ๒๕๒๘ มาตรา ๒๖