ภาษีอากร : มาตรา 3 อัฎฐ

ครพ.ภษ. 1819/2564

          โจทก์เป็นนิติบุคคลที่จดทะเบียนในประเทศไทย การขยายหรือเลื่อนกำหนดเวลาอุทธรณ์ออกไปได้นั้นจะต้องเป็นกรณีมีเหตุจำเป็นจนไม่สามารถจะปฏิบัติตามกำหนดเวลาได้ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 3 อัฏฐ วรรคหนึ่ง คดีนี้เจ้าพนักงานประเมินนำหนังสือแจ้งการประเมินภาษีมูลค่าเพิ่มส่งให้โจทก์ ณ บ้านเลขที่ 13/13 หมู่ที่ 6 แขวงบางขุนเทียน เขตจอมทองกรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นสำนักงานแห่งใหญ่ของโจทก์ โดยวิธีปิดหนังสือไว้หน้าประตูสำนักงานของโจทก์ เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2558 อันเป็นการส่งหนังสือแจ้งการประเมินโดยชอบตามประมวลรัษฎากร มาตรา 8 แล้ว โจทก์ต้องยื่นอุทธรณ์ภายในวันที่ 10 ธันวาคม 2558 ที่โจทก์อ้างว่ากรรมการผู้มีอำนาจของโจทก์ต้องพาบุตรไปรักษาโรคออทิสติกที่จังหวัดเชียงใหม่ระหว่างวันที่ 9 ถึง 15 ธันวาคม 2558 เป็นเรื่องความจำเป็นโดยส่วนตัวของกรรมการโจทก์เอง ประกอบกับโจทก์สามารถมอบอำนาจให้ตัวแทนยื่นอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ได้ กรณีไม่ใช่เหตุจำเป็นจนไม่สามารถจะปฏิบัติตามกำหนดเวลาได้แต่อย่างใด คำสั่งไม่อนุญาตให้โจทก์ขยายกำหนดเวลาการอุทธรณ์และคำวินิจฉัยอุทธรณ์จึงชอบด้วยประมวลรัษฎากร มาตรา 3 อัฏฐ วรรคหนึ่ง แล้ว ฎีกาของโจทก์จึงไม่เป็นปัญหาสำคัญที่ศาลฎีกาควรวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคสอง (3) และ (5) ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. 2528 มาตรา 26 

ครพ.ภษ. 2968/2564

        เมื่อเจ้าพนักงานกรมจำเลยส่งหนังสือแจ้งภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับรอบระยะเวลาบัญชีตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2553 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2553 รอบระยะเวลาบัญชีตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2554 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2554 และรอบระยะเวลาบัญชีตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2555 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2555 รวมจำนวน 6 ฉบับ ไปยังสำนักงานเลขที่ 35/9 หมู่ที่ 2 ตำบลบางหัวเสือ อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งเป็นสำนักงานแห่งใหญ่ของโจทก์ โดยวิธีไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับซึ่งระบุว่า “ณ.” ลงลายมือชื่อรับไว้แทนเมื่อวันที่ 21 เมษายน 2559 และส่งไปยังบ้านเลขที่ 8/13 หมู่ 2 ตำบลบางหัวเสือ อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งตรงกับภูมิลำเนาของนาย ว. หุ้นส่วนผู้จัดการห้างหุ้นส่วนจำกัดโจทก์ โดยวิธีไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับซึ่งระบุว่า “ณ.” ลงลายมือชื่อรับไว้แทนเมื่อวันที่ 21 เมษายน 2559 เช่นเดียวกัน ซึ่งในชั้นสืบพยานโจทก์ไม่ได้โต้แย้งคัดค้านข้อเท็จจริงส่วนนี้เป็นอย่างอื่น และนางสาว ณ. พยานโจทก์เบิกความรับว่า ช่วงเวลาดังกล่าวตนคบหาอยู่กินกับนาย ช. ซึ่งทำงานขับรถบรรทุกให้โจทก์ โดยปกติจะนั่งรถไปกับนาย ช. โดยตลอด บางครั้งก็จะมานั่งรอนาย ช. ที่บริเวณที่ทำการของโจทก์ และนาย ช. ยังให้พยานย้ายภูมิลำเนาตามทะเบียนราษฎรเข้ามาที่ภูมิลำเนาของหุ้นส่วนผู้จัดการห้างหุ้นส่วนจำกัดโจทก์เพื่อสะดวกในการติดต่อเกี่ยวกับเอกสาร ในวันส่งเอกสารไม่พบหุ้นส่วนผู้จัดการห้างหุ้นส่วนจำกัดโจทก์หรือบุคคลใด พยานจึงลงลายมือชื่อรับไว้แทนและนำเอกสารไปใส่ไว้ในกล่องบนโต๊ะทำงานบริเวณที่ทำการของโจทก์ ดังนั้น การส่งหนังสือแจ้งการประเมินจึงชอบตามประมวลรัษฎากร มาตรา 8 ถือว่าโจทก์ได้รับหนังสือแจ้งภาษีเงินได้นิติบุคคลดังกล่าวโดยชอบแล้ว ส่วนที่โจทก์อ้างว่าขณะส่งหนังสือหุ้นส่วนผู้จัดการห้างหุ้นส่วนจำกัดโจทก์ไม่ได้อยู่ที่ที่ทำการเนื่องจากติดงานขับรถรับส่งสินค้าด้วยตนเองอยู่ มาทราบการแจ้งการประเมินเมื่อพ้นกำหนดระยะเวลาอุทธรณ์ไปแล้วนั้น กรณีไม่ใช่เหตุจำเป็นจนโจทก์ไม่สามารถจะปฏิบัติตามกำหนดเวลาในการอุทธรณ์ได้ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 3 อัฏฐ วรรคหนึ่ง คำสั่งไม่อนุมัติให้โจทก์ขยายกำหนดเวลาการอุทธรณ์และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์จึงไม่เป็นปัญหาสำคัญที่ศาลฎีกาควรวินิจฉัยตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร  พ.ศ. 2528 มาตรา 26 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง  มาตรา 249 วรรคสอง (1) (5)

ครพ.ภษ. 11971/2563

          การที่เจ้าพนักงานประเมินมีหนังสือแจ้งการประเมินภาษีมูลค่าเพิ่มส่งไปยังสถานประกอบการหรือสำนักงานของโจทก์ซึ่งโจทก์จดทะเบียนจัดตั้งและต่อมาโจทก์เลิกบริษัทโดยแจ้งนายทะเบียนกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ว่า สำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่ 5/187 หมู่ที่ 5 ตำบลอ้อมน้อย อำเภอกระทุ่มแบน จังหวัดสมุทรสาคร แม้โจทก์อ้างว่าเลิกสัญญาเช่าอาคารดังกล่าวตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2558 แต่สำเนาคำร้องขอขยายเวลาการอุทธรณ์และสำเนาอุทธรณ์ที่โจทก์ยื่นต่ออธิบดีกรมสรรพากรและคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ กับหนังสือรับรองซึ่งนายทะเบียนออกให้ ณ วันที่ 17 กรกฎาคม 2561 ยังคงระบุที่อยู่ดังกล่าวเป็นสำนักงานของโจทก์เช่นกัน ทั้งไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้แจ้งการเปลี่ยนแปลงทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มต่อจำเลยเพื่อย้ายสถานประกอบการตามประมวลรัษฎากร มาตา 85/8 และนาย ธ. กรรมการและในฐานะผู้ชำระบัญชีคนหนึ่งของโจทก์เบิกความยอมรับว่า กรณีไม่มีผู้ใดอยู่ที่สถานประกอบการจะมีแม่บ้านของอาคารเป็นผู้รับเอกสารไว้แทน ย่อมแสดงว่าโจทก์ยอมรับและมอบหมายให้แม่บ้านคนดังกล่าวทำหน้าที่รับเอกสารแทนโจทก์แล้ว ดังนี้หากกรรมการของโจทก์ต้องเดินทางไปต่างจังหวัดก็ต้องหมั่นสอบถามบุคคลดังกล่าวเพื่อรักษาสิทธิประโยชน์ของโจทก์ มิใช่รอให้บุคคลดังกล่าวแจ้งให้ทราบแต่เพียงอย่างเดียว พฤติการณ์ของโจทก์ที่รอแต่จะให้บุคคลดังกล่าวแจ้งแก่โจทก์จึงเป็นระบบที่บกพร่องของโจทก์เอง ไม่อาจถือเป็นเหตุจำเป็นจนไม่สามารถจะปฏิบัติตามกำหนดเวลาได้ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 3 อัฏฐ วรรคหนึ่ง คำสั่งไม่อนุมัติให้ขยายกำหนดเวลาอุทธรณ์ของสรรพากรภาค 6 ปฏิบัติราชการแทนอธิบดีกรมสรรพากร และคำวินิจฉัยชี้ขาดของรองปลัดกระทรวงการคลังที่ยกอุทธรณ์คำสั่งของโจทก์ตามหนังสือของจำเลยเลขที่ กค 0710.4/5872 ลงวันที่ 18 เมษายน 2559 เรื่อง ไม่อนุมัติให้ขยายกำหนดเวลาการอุทธรณ์และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ที่ 104/2560 ลงวันที่ 24 ตุลาคม 2560 จึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว ฎีกาของโจทก์จึงไม่เป็นปัญหาสำคัญที่ศาลฎีกาควรวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคสอง (1) (2) ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. 2528 มาตรา 26

ครพ.ภษ. 11983/2563

          เจ้าพนักงานประเมินส่งหนังสือแจ้งภาษีเงินได้นิติบุคคลและหนังสือแจ้งการประเมินภาษีมูลค่าเพิ่มไปยังเลขที่ 56/9 หมู่ที่ 5 แขวงสีกัน เขตดอนเมือง กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นสำนักงานแห่งใหญ่ของโจทก์ โดยการปิดหนังสือดังกล่าวเมื่อวันที่ 8 เมษายน 2558 ที่โจทก์อ้างว่าโจทก์ย้ายที่ทำการไปอยู่ที่เลขที่ 9/111 หมู่ที่ 3 ตำบลบ้านใหม่ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี โดยโจทก์มีหนังสือแจ้งไปยังหน่วยงานราชการต่าง ๆ ว่าโจทก์ย้ายที่ทำการแล้ว ปรากฏว่าโจทก์มีหนังสือแจ้งให้จำเลยทราบถึงสถานประกอบการแห่งใหม่ของโจทก์เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2559 ซึ่งเป็นเวลาหลังจากวันที่ถือว่าโจทก์ได้รับหนังสือแจ้งการประเมินแล้ว ทั้งเจ้าพนักงานประเมินได้ส่งหนังสือเตือนให้ปฏิบัติตามหมายเรียกตามหนังสือที่ กค 0705.09/ก052(091)/8270 ลงวันที่ 1 สิงหาคม 2557 ทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับถึงนางสาว ร. กรรมการของโจทก์ตามที่อยู่ทะเบียนราษฎร์เลขที่ 219 หมู่ที่ 2 ตำบลท่าศาลา อำเภอเมืองลพบุรี จังหวัดลพบุรี มีผู้รับหนังสือไว้ระบุชื่อนาง จ. เกี่ยวพันกับผู้รับเป็นป้า ซึ่งนางสาว ร. ก็เบิกความรับว่ามีที่อยู่ดังกล่าวจริง แสดงว่ามีการส่งหนังสือเตือนไปยังที่อยู่ของกรรมการโจทก์ โจทก์จึงต้องทราบว่าจำเลยมีการดำเนินการเกี่ยวกับภาษีอากรต่อโจทก์ การที่โจทก์ไม่ได้ดำเนินการแจ้งย้ายที่อยู่ทางทะเบียนจึงเป็นความบกพร่องของโจทก์เอง การส่งหนังสือแจ้งภาษีเงินได้นิติบุคคลและหนังสือแจ้งการประเมินภาษีมูลค่าเพิ่มของจำเลยจึงชอบตามประมวลรัษฎากร มาตรา 8 กรณีจึงมิใช่มีเหตุจำเป็นอันสมควรจนโจทก์ไม่สามารถจะยื่นอุทธรณ์ตามกำหนดเวลาได้ การที่อธิบดีกรมของจำเลยมีคำสั่งไม่อนุมัติให้โจทก์ขยายกำหนดเวลาการอุทธรณ์จึงชอบด้วยประมวลรัษฎากร มาตรา 3 อัฏฐ วรรคหนึ่ง แล้ว คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษชอบแล้ว กรณีไม่อาจมีผลเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญในคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ ฎีกาของโจทก์จึงไม่เป็นกรณีที่คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษได้วินิจฉัยข้อกฎหมายที่สำคัญซึ่งยังไม่มีแนวคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลฎีกามาก่อน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคสอง (3) ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. 2528 มาตรา 26

ครพ.ภษ. 999/2564

          เจ้าพนักงานประเมินส่งหนังสือแจ้งภาษีเงินได้นิติบุคคล สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2548 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2548 และรอบระยะเวลาบัญชีตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2549 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2549 และหนังสือแจ้งการประเมินภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับเดือนภาษีมกราคม 2548 เดือนภาษีธันวาคม 2548 และเดือนภาษีธันวาคม 2549 ไปยังเลขที่ 56/9 หมู่ที่ 5 แขวงสีกัน เขตดอนเมือง กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นสำนักงานแห่งใหญ่ของโจทก์ โดยส่งทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับด่วนพิเศษ เมื่อวันที่ 4 เมษายน 2557 และมีผู้ลงชื่อในช่องลงชื่อผู้รับหรือผู้รับแทน ซึ่งโจทก์ไม่ได้โต้แย้งคัดค้านข้อเท็จจริงส่วนนี้เป็นอย่างอื่น โจทก์อ้างแต่เพียงว่าโจทก์ย้ายที่ตั้งใหม่ นอกจากนี้ นาย ป. กรรมการบริษัทโจทก์ ยังตอบทนายโจทก์ถามติงรับว่า โจทก์ยังคงให้มีผู้กลับไปตรวจสอบเอกสารที่มีการส่งไปยังที่ตั้งเลขที่ 56/9 ซึ่งคือ สำนักงานแห่งใหญ่ที่โจทก์จดทะเบียนไว้อันเจือสมพยานจำเลย ดังนั้น การที่เจ้าพนักงานประเมินได้ส่งหนังสือแจ้งภาษีเงินได้นิติบุคคลและหนังสือแจ้งการประเมินภาษีมูลค่าเพิ่มไปยังภูมิลำเนาของโจทก์ตามที่โจทก์ได้จดทะเบียนไว้กับสำนักทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกรุงเทพมหานคร กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ โดยวิธีส่งทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับด่วนพิเศษและมีพนักงานของโจทก์ลงลายมือชื่อรับไว้ จึงเป็นการส่งโดยชอบตามประมวลรัษฎากร มาตรา 8 ถือว่าโจทก์ได้รับหนังสือแจ้งภาษีเงินได้นิติบุคคลและหนังสือแจ้งการประเมินภาษีมูลค่าเพิ่มดังกล่าวโดยชอบแล้ว กรณีจึงไม่ใช่เหตุจำเป็นอันสมควรจนโจทก์ไม่สามารถจะยื่นอุทธรณ์ตามกำหนดเวลาได้ คำสั่งไม่อนุมัติให้โจทก์ขยายกำหนดเวลาการอุทธรณ์และคำวินิจฉัยอุทธรณ์จึงชอบด้วยประมวลรัษฎากรมาตรา 3 อัฏฐ วรรคหนึ่งแล้ว กรณีไม่อาจมีผลเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญในคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ ฎีกาของโจทก์จึงไม่เป็นปัญหาสำคัญที่ศาลฎีกาควรวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคสอง (2) ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. 2528 มาตรา 26

ครพ.ภษ. 2330/2565

             ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ฎีกาของโจทก์ในประการแรกว่า คำสั่งของศาลภาษีอากรกลางที่ไม่กำหนดประเด็นข้อพิพาทเพิ่มเติมว่า การประเมินภาษีในคดีนี้ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ และโจทก์ต้องเสียภาษีตามการประเมินหรือไม่ เพียงใด ตามที่โจทก์แถลงคัดค้านถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ (ตามรายงานกระบวนพิจารณาฉบับลงวันที่ 3 ก.พ. 63 และคำแถลงโต้แย้งคำสั่งระหว่างพิจารณาลงวันที่ 23 มี.ค. 63) เห็นว่า โจทก์ยื่นอุทธรณ์การประเมินและยื่นคำร้องขอขยายเวลาการอุทธรณ์การประเมิน สำนักงานสรรพากรภาค ๙ มีคำสั่งไม่อนุมัติให้ขยายกำหนดเวลาการอุทธรณ์การประเมิน โจทก์อุทธรณ์คำสั่ง รองปลัดกระทรวงการคลัง หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านรายได้ ผู้มีอำนาจพิจารณาอุทธรณ์มีคำวินิจฉัยว่าไม่มีเหตุอันใดที่จะต้องเพิกถอนหรือเปลี่ยนแปลงคำสั่งดังกล่าวให้ยกอุทธรณ์ ดังนั้น จึงถือว่ายังไม่มีอุทธรณ์การประเมินของโจทก์ให้คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ได้วินิจฉัยว่าการประเมินชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ก่อนนำคดีมาฟ้องศาล โจทก์ย่อมไม่มีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนการประเมิน คดีนี้จึงไม่มีประเด็นข้อพิพาทว่าการประเมินชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ คำสั่งของศาลภาษีอากรกลางที่ไม่กำหนดประเด็นข้อพิพาทเพิ่มเติม นั้นชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ในประการต่อมาว่า คำสั่งไม่อนุมัติให้ขยายกำหนดเวลาการอุทธรณ์การประเมิน และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า เมื่อวันที่ ๒๑ เมษายน ๒๕๖๐ เจ้าพนักงานประเมินกรมจำเลยไปส่งหนังสือแจ้งภาษีเงินได้นิติบุคคล สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2557 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2557 และหนังสือแจ้งการประเมินภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับเดือนภาษีมกราคมถึงเดือนภาษีมิถุนายน เดือนภาษีสิงหาคมถึงเดือนภาษีตุลาคม และเดือนภาษีธันวาคม 2557 ณ เลขที่ 313 หมู่ที่ 2 ตำบลบ้านกอก อำเภอจัตุรัส จังหวัดชัยภูมิ ซึ่งเป็นสำนักงานแห่งใหญ่ของบริษัทโจทก์ด้วยตนเอง แต่ไม่พบบุคคลใดที่จะส่งหนังสือแจ้งการประเมินได้ จึงปิดหนังสือไว้ที่ประตูด้านหน้าของสถานประกอบการของบริษัทโจทก์ ซึ่งเห็นได้ง่าย โดยมีเจ้าพนักงานตำรวจสถานีตำรวจภูธรจัตุรัสร่วมเป็นพยานพร้อมลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐาน การปิดหนังสือแจ้งการประเมินดังกล่าวจึงได้ปฏิบัติตามวิธีที่กำหนดไว้ตามประมวลรัษฎากร มาตรา ๘ ครบถ้วนแล้ว ถือว่าโจทก์ได้รับหนังสือแจ้งภาษีเงินได้นิติบุคคล และหนังสือแจ้งการประเมินภาษีมูลค่าเพิ่มดังกล่าวโดยชอบแล้ว ที่โจทก์อ้างว่ามีบุคคลมาแกะหนังสือแจ้งการประเมินดังกล่าวไปก็เป็นข้อเท็จจริงที่นาย ช. กรรมการบริษัทโจทก์รับฟังมาจากนาง น. ลูกจ้างบริษัทโจทก์ แต่โจทก์ไม่นำนาง น. มาเบิกความยืนยันข้อเท็จจริงดังกล่าว ทั้งจำเลยมีหนังสือถึงนาย ช. แจ้งว่า โจทก์มีหนี้ภาษีอากรค้างเมื่อประมาณเดือนมิถุนายน ๒๕๖๐ แต่โจทก์กลับยื่นคำร้องต่ออธิบดีกรมจำเลยเพื่อขอขยายกำหนดเวลาการอุทธรณ์การประเมินเมื่อวันที่ ๒๕ พฤษภาคม ๒๕๖๑ จึงมิใช่กรณีมีเหตุจำเป็นจนโจทก์ไม่สามารถจะปฏิบัติตามกำหนดเวลาในการอุทธรณ์ได้ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 3 อัฏฐ วรรคหนึ่ง คำสั่งไม่อนุมัติให้โจทก์ขยายกำหนดเวลาการอุทธรณ์การประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยชอบแล้ว กรณีไม่อาจมีผลเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญในคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ ฎีกาของโจทก์จึงไม่เป็นปัญหาสำคัญที่ศาลฎีกาควรวินิจฉัยตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. ๒๕๒๘ มาตรา ๒๖ ประกอบประมวลฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๔๙

ครพ.ภษ.7926/2567

             ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ปัญหาตามที่โจทก์ขออนุญาตฎีกาว่า คำสั่งไม่อนุมัติให้ขยายกำหนดเวลาการอุทธรณ์ตามหนังสือ ที่ กค ๐๗๓๐/๔/๑๔๐๔ ลงวันที่ ๔ มีนาคม ๒๕๖๔ ของจำเลยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ตามคำเบิกความของพยานโจทก์ปากนางสาว ส ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ประจำงานผู้รับบริการสัมพันธ์ของโรงพยาบาลสงขลานครินทร์ว่าโรงพยาบาลสงขลานครินทร์ถือเป็นส่วนหนึ่งของคณะแพทยศาสตร์ และทุกสำนักงาน รวมถึงโจทก์ที่อยู่ในบริเวณมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์จะใช้ที่อยู่เดียวกันคือ เลขที่ ๑๕ ถนนกาญจนวนิชย์ตำบลคอหงส์ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา โดยพยานมีหน้าที่รับจดหมายและพัสดุของคณะแพทยศาสตร์ และได้ความจากคำเบิกความของพยานโจทก์ปากนาย ว ซึ่งเป็นกรรมการและเลขาธิการของโจทก์ที่ตอบทนายจำเลยถามค้านว่า การส่งเอกสารของพนักงานไปรษณีย์จะส่งไปยังเจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ของโรงพยาบาลสงขลานครินทร์ หลังจากนั้นจะมีการแจกจ่ายเอกสารดังกล่าวไปยังคณะต่าง ๆ และหน่วยงานต่าง ๆ ของคณะแพทยศาสตร์ รวมถึงมูลนิธิ ส โจทก์ในคดีนี้ด้วย  โดยแจ้งให้หน่วยงานต่าง ๆ ส่งเจ้าหน้าที่มารับเอกสารที่ประชาสัมพันธ์ ดังนี้ การที่จำเลยส่งเอกสารให้โจทก์ทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับ ระบุผู้รับคือโจทก์ ที่อยู่อาคารบริหารคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัย  สงขลานครินทร์ ชั้นที่ ๑ เลขที่ ๑๕ ถนนกาญจนวนิชย์ ตำบลคอหงส์ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ซึ่งเป็นสำนักงานที่ตั้งของโจทก์ด้วย แล้วพนักงานไปรษณีย์นำส่งเอกสารดังกล่าวซึ่งประกอบด้วยหนังสือแจ้งให้นำส่งภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหัก ณ ที่จ่าย หนังสือแจ้งภาษีเงินได้นิติบุคคล หนังสือแจ้งการประเมินภาษีมูลค่าเพิ่ม และหนังสือแจ้งให้เสียค่าอากรและค่าเพิ่มอากร ไปยังอาคารโรงพยาบาลสงขลานครินทร์ ซึ่งมีที่อยู่เลขที่เดียวกัน โดยมีบุคคลลงชื่อ “ส” และระบุว่าเกี่ยวพันกับผู้รับ โดยเป็นเจ้าหน้าที่เป็นผู้รับหนังสือไว้แทนในวันที่ ๒ มกราคม ๒๕๖๔ ตามใบตอบรับ EMS ภายในประเทศ จึงถือได้ว่ามีการส่งหนังสือแจ้งการประเมินภาษีให้แก่โจทก์โดยชอบตาม ป.รัษฎากร มาตรา ๘ และตามข้อกำหนดของไปรษณีย์นิเทศ พ.ศ. ๒๕๖๑ ข้อ ๖๓ แล้ว และเมื่อปรากฏหลักฐานชัดแจ้งว่า มีบุคคลลงชื่อรับหนังสือแจ้งการประเมินไว้แทนในวันที่ ๒ มกราคม ๒๕๖๔ จึงเข้าข้อยกเว้นตาม พ.ร.บ.วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙  มาตรา ๗๑ ตอนท้าย ประกอบกับหนังสือ ที่ กค ๐๗๓๐/๔/๑๔๐๔ ลงวันที่ ๔ มีนาคม ๒๕๖๔ เรื่อง การขยายกำหนดเวลาการอุทธรณ์ มีการแจ้งคำสั่งไม่อนุมัติให้ขยายกำหนดเวลาการอุทธรณ์พร้อมเหตุผลให้แก่โจทก์ทราบ ซึ่งได้ระบุสถานที่ออกหนังสือและส่วนงานที่สามารถติดต่อได้พร้อมหมายเลขโทรศัพท์และชื่อเจ้าหน้าที่ไว้อย่างชัดแจ้ง พร้อมมีหมายเหตุว่า “หากประสงค์จะอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าว ให้อุทธรณ์ต่อเจ้าหน้าที่ผู้ทำคำสั่งภายในกำหนดเวลา ๑๕ วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่ง ตามมาตรา ๔๔ แห่ง พ.ร.บ.วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙” ดังนั้น คำสั่งไม่อนุมัติให้ขยายกำหนดเวลาการอุทธรณ์ จึงเป็นคำสั่งทางปกครองที่ชอบด้วย พ.ร.บ.วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ มาตรา ๔๐ วรรคหนึ่ง แล้ว ส่วนที่โจทก์ขออนุญาตฎีกาในประเด็นอื่นบางประเด็นเป็นข้อเท็จจริงที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลล่างทั้งสอง ส่วนบางประเด็นไม่จำต้องวินิจฉัยเพราะไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลงไป ที่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษวินิจฉัยมานั้นชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์จึงไม่เป็นปัญหาสำคัญที่ศาลฎีกาควรวินิจฉัย 

เผยแพร่โดย

แผนกภาษีอากรในศาลฎีกา

วันที่เผยแพร่
21/10/2565
เข้าดู
9
Share