ภาษีอากร : อายุความ

ครพ.ภษ. 11972/2563

          สิทธิเรียกร้องของรัฐที่จะเรียกเอาค่าภาษีอากรคดีนี้มีกำหนดอายุความ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 193/31 จำเลยที่ 1 ได้รับหนังสือแจ้งภาษีเงินได้นิติบุคคลและหนังสือแจ้งการประเมินภาษีมูลค่าเพิ่มเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2552 ภายในอายุความดังกล่าว อายุความจึงสะดุดหยุดลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/14 (5) นับแต่วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2552 ระยะเวลาที่ล่วงไปก่อนนั้นไม่นับเข้าในอายุความ และเริ่มนับอายุความใหม่ตั้งแต่เวลาที่เหตุที่ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงสิ้นสุดลง โจทก์ฟ้องคดีเมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2562 ฟ้องโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ จำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 ให้การเพียงว่าสิทธิเรียกร้องเกิดตั้งแต่ปี 2550 นับถึงวันฟ้อง เกินกว่า 10 ปี โจทก์ไม่มีสิทธินำคดีมาฟ้องจำเลยทั้งห้าเพราะขาดอายุความ จำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 เป็นกรรมการจำเลยที่ 1 ไม่มีหน้าที่ต้องชำระภาษีที่โจทก์ประเมินโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายและขาดอายุความ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง โดยไม่ได้ให้การเรื่องอายุความละเมิดดังที่ฎีกา การที่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษไม่รับวินิจฉัยปัญหานี้จึงชอบแล้ว จึงไม่มีเหตุที่จะเปลี่ยนแปลงผลคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ ฎีกาของจำเลยทั้งห้าจึงไม่เป็นปัญหาสำคัญที่ศาลฎีกาควรวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคสอง (1) (5) ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. 2528 มาตรา 26

ครพ.ภษ. 3053/2566

ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า การส่งแบบแจ้งการประเมินให้แก่จำเลยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์ที่ ๑ ส่งแบบแจ้งการประเมินให้จำเลยทราบโดยส่งไปยังผู้ชำระบัญชีของจำเลยทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับแต่ไม่มีผู้มารับภายในกำหนด โจทก์ที่ ๑ จึงดำเนินการปิดเอกสารการแจ้งหนี้ ณ บ้านเลขที่ ๑๐๙/๓๓๓ ซอยฉลองกรุง ๕๓ แขวงลำปลาทิว เขตลาดกระบัง กรุงเทพมหานคร อันเป็นที่ตั้งสำนักงานของจำเลยและสำนักงานผู้ชำระบัญชีของจำเลยภายในระยะเวลาสองปี นับแต่วันเสร็จการชำระบัญชี ดังนั้น การส่งแบบแจ้งการประเมินให้แก่จำเลยจึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว 
ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น

          คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า โจทก์ทั้งสามมีอำนาจฟ้องจำเลยหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าจำเลยนำรถยนต์เข้ามาในราชอาณาจักรตามใบขนสินค้าขาเข้าเลขที่ A๐๒๘-C๕๕๐๒-๐๐๔๔๙ เมื่อวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ โจทก์ที่ ๑ ตรวจสอบแล้วปรากฏว่า  จำเลยสำแดงราคารถยนต์ที่นำเข้าต่ำกว่าราคาศุลกากร เจ้าพนักงานประเมินของโจทก์ที่ ๑ ทำการประเมินและออกแบบแจ้งการประเมินเมื่อวันที่ ๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ และแจ้งการประเมินโดยวิธีการปิดเอกสารให้จำเลยทราบในวันที่ ๒๒ มีนาคม ๒๕๖๑ จำเลยจดทะเบียนเสร็จการชำระบัญชีเมื่อวันที่ ๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ ต่อมาโจทก์ทั้งสามร่วมกันฟ้องเรียกหนี้ค่าภาษีอากรค้างชำระเบี้ยปรับ และเงินเพิ่มจากจำเลยเป็นคดีนี้ ซึ่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๒๗๒ ห้ามมิให้ฟ้องเมื่อพ้นกำหนด ๒ ปี นับแต่วันถึงที่สุดแห่งการชำระบัญชี เมื่อเจ้าพนักงานประเมินของโจทก์ที่ ๑ มีหนังสือแจ้งการประเมินถึงจำเลย โดยวิธีการปิดเอกสารให้จำเลยทราบเมื่อวันที่ ๒๒ มีนาคม ๒๕๖๑ โดยให้จำเลยชำระภาษีภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันรับหนังสือ กรณีจึงถือได้ว่าเจ้าพนักงานประเมินได้ใช้สิทธิเรียกร้องบังคับเอาแก่จำเลยแล้วจึงเป็นการที่เจ้าหนี้ได้กระทำการอันมีผลเป็นอย่างเดียวกันกับการฟ้องคดีซึ่งส่งผลให้อายุความสะดุดหยุดลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๙๓/๑๔ (๕) และเมื่อหนังสือดังกล่าวระบุให้จำเลยนำเงินค่าภาษีอากร เบี้ยปรับ และเงินเพิ่ม ไปชำระภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือแจ้งประเมิน เหตุที่ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงย่อมสิ้นสุดลงเมื่อพ้นกำหนดระยะเวลาดังกล่าวและเริ่มนับอายุความใหม่ตั้งแต่เวลานั้นตามมาตรา ๑๙๓/๑๕ วรรคสอง ดังนั้น การที่โจทก์ทั้งสามนำคดีนี้มาฟ้องจำเลยในวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๓ จึงเป็นการฟ้องคดีภายในระยะเวลา ๒ ปี คดีจึงยังไม่ขาดอายุความ และกรณีเป็นเรื่องอายุความใช้สิทธิเรียกร้องมิใช่เรื่องอำนาจฟ้องตามที่จำเลยอ้างมา ส่วนที่จำเลยอ้างว่าหนี้ภาษีอากรค้างในคดีนี้เกิดจากการที่เจ้าพนักงานประเมินของโจทก์ที่ ๑ ประเมินและแจ้งการประเมินภายหลังจากที่จำเลยจดทะเบียนเสร็จการชำระบัญชีแล้ว และปัจจุบันจำเลยไม่มีทรัพย์สินที่จะชำระหนี้ตามการประเมินแก่โจทก์ทั้งสามอย่างเด็ดขาดและถาวร จึงถือเป็นพฤติการณ์อันใดอันหนึ่งที่ทำให้การชำระหนี้ภาษีอากรกลายเป็นพ้นวิสัย โจทก์จึงไม่มีอำนาจนำหนี้ดังกล่าวมาฟ้องนั้น เห็นว่า เมื่อพิจารณาตามมาตรา ๑๐ ทวิ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. ๒๔๖๙ ที่ใช้บังคับในขณะเกิดเหตุความรับผิดในหนี้ภาษีอากรคดีนี้เกิดขึ้นในเวลาที่จำเลยนำรถยนต์เข้ามาในราชอาณาจักรสำเร็จเมื่อวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ แม้ต่อมาจำเลยจะจดทะเบียนเลิกบริษัทและจดทะเบียนเสร็จการชำระบัญชีแล้วก็ตาม ก็ไม่ทำให้หนี้ภาษีอากรค้างชำระดังกล่าวกลายเป็นหนี้ที่เกิดขึ้นภายหลังจากที่จำเลยจดทะเบียนเสร็จการชำระบัญชีแล้ว โจทก์ที่ ๑ จึงมีอำนาจประเมินอากรขาเข้า รวมทั้งภาษีสรรพสามิต ภาษีเพื่อมหาดไทย และภาษีมูลค่าเพิ่ม การที่จำเลยจดทะเบียนเสร็จการชำระบัญชีแล้วมิใช่การชำระหนี้ตกเป็นอันพ้นวิสัยเนื่องจากจำเลยกลายเป็นคนไม่สามารถจะชำระหนี้ได้ภายหลังที่ได้ก่อหนี้ขึ้นแล้ว ทั้งมิใช่การชำระหนี้กลายเป็นพ้นวิสัยเพราะพฤติการณ์อันใดอันหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นภายหลังที่ได้ก่อหนี้และซึ่งจำเลยไม่ต้องรับผิดชอบ อันจะทำให้จำเลยเป็นอันหลุดพ้นจากการชำระหนี้นั้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๒๑๙ โจทก์ทั้งสามจึงใช้สิทธิเรียกร้องนำคดีนี้มาฟ้องจำเลยได้

เผยแพร่โดย

แผนกภาษีอากรในศาลฎีกา

วันที่เผยแพร่
26/01/2567
เข้าดู
4
Share