ครพ.ภษ. 2332/2565
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ฎีกาของโจทก์ทั้งสามในประเด็นที่ว่า จำเลยต้องรับผิดชำระเงินเพิ่มอากรขาเข้าไม่เกินกว่าอากรขาเข้าที่ต้องเสียเพิ่มตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษหรือไม่ เห็นว่า จำเลยมีหน้าที่ต้องรับผิดในส่วนเงินเพิ่มตามกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในเวลานั้น เมื่อคดีนี้จำเลยนำเข้าสินค้า ในเดือนมิถุนายน ๒๕๕๓ และเดือนมิถุนายน ๒๕๕๔ ความรับผิดอากรขาเข้าตามใบขนสินค้าขาเข้าทั้งสองฉบับดังกล่าว เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่พระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. ๒๔๖๙ ยังคงมีผลใช้บังคับอยู่ โดยตามพระราชบัญญัติฉบับดังกล่าว มาตรา ๑๑๒ จัตวา บัญญัติว่า “เมื่อผู้นำของเข้าหรือผู้ส่งของออกนำเงินมาชำระค่าอากรที่ต้องเสียหรือเสียเพิ่ม ให้เรียกเก็บเงินเพิ่มในอัตราร้อยละหนึ่งต่อเดือนของค่าอากรที่นำมาชำระโดยไม่คิดทบต้นนับแต่วันที่ได้ส่งมอบหรือส่งของออก จนถึงวันที่นำเงินมาชำระ...” ซึ่งบทบัญญัติดังกล่าวมิได้บัญญัติว่าเงินเพิ่มอากรขาเข้าจะต้องไม่เกินอากรขาเข้าที่ต้องเสียหรือเสียเพิ่ม ดังนี้ เมื่อจำเลยชำระอากรขาเข้าไม่ครบถ้วน โจทก์ที่ ๑ จึงมีสิทธิเรียกเงินเพิ่มอากรขาเข้าได้โดยไม่มีข้อจำกัดว่าจะต้องไม่เกินอากรขาเข้าที่ต้องเสียหรือเสียเพิ่ม ตามบทกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในเวลานั้น แต่ต่อมาวันที่ ๑๓ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ ได้มีพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. ๒๕๖๐ ใช้บังคับ และให้ยกเลิกพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. ๒๔๖๙ โดยพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. ๒๕๖๐ มาตรา ๒๒ บัญญัติว่า “...โดยเงินเพิ่มที่เรียกเก็บนี้ต้องไม่เกินอากรที่ต้องเสียหรือเสียเพิ่ม...” เป็นผลให้โจทก์ที่ ๑ ไม่มีสิทธิตามกฎหมาย ที่จะเรียกเงินเพิ่มอากรขาเข้าเฉพาะส่วนที่เกินอากรขาเข้านับแต่วันที่พระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. ๒๕๖๐ มีผลใช้บังคับแล้วได้อีกต่อไปก็ตาม แต่ก็มิได้เป็นการลบล้างเงินเพิ่มที่เกิดขึ้นแล้วตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. ๒๔๖๙ ดังนั้น โจทก์ที่ ๑ ย่อมมีสิทธิคำนวณเรียกเงินเพิ่มส่วนที่เกินอากรขาเข้าได้จนถึงวันที่ ๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ ส่วนนับแต่วันที่ ๑๓ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ หากเงินเพิ่มยังไม่เท่าอากรขาเข้าตามการประเมิน โจทก์ที่ ๑ คงมีสิทธิคำนวณเรียกเงินเพิ่มอากรขาเข้าดังกล่าวต่อไปได้จนกว่าจำนวนเงินเพิ่มจะเท่าจำนวนอากรขาเข้าตามการประเมินดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๒๒ ดังกล่าว แต่เมื่อตามแบบแจ้งการประเมิน/เรียกเก็บอากรขาเข้า/ขาออก ภาษีสรรพสามิต ภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีอื่น ๆ ทั้งสองฉบับ ปรากฏว่า เมื่อคำนวณเงินเพิ่มอากรขาเข้าถึงวันที่ ๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ ซึ่งเป็นวันก่อนหน้าวันที่พระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. ๒๕๖๐ มีผลใช้บังคับ ยังไม่เกินกว่าจำนวนอากรที่ต้องเสียเพิ่ม โจทก์ที่ ๑ คงมีสิทธิคำนวณเรียกเงินเพิ่มอากรขาเข้าดังกล่าวต่อไปได้จนกว่าจำนวนเงินเพิ่มจะเท่าจำนวนอากรขาเข้าตามการประเมินเท่านั้น ปัญหาว่าจำเลยจะต้องรับผิดชำระเงินเพิ่มอากรขาเข้าเกินกว่าอากรขาเข้าหรือไม่ เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน โดยเฉพาะกรณีที่จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ ศาลจะมีคำพิพากษาชี้ขาดให้โจทก์ทั้งสามเป็นฝ่ายชนะคดีโดยจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การมิได้ เว้นแต่ศาลเห็นว่าคำฟ้องของโจทก์ทั้งสามมีมูลและไม่ขัดต่อกฎหมาย ศาลจึงมีอำนาจยกประเด็นปัญหานี้ขึ้นพิจารณาได้ ฎีกาของโจทก์ทั้งสามไม่อาจเปลี่ยนแปลงผลคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษได้ จึงไม่เป็นปัญหาสำคัญที่ศาลฎีกาควรวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๔๙ ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. ๒๕๒๘ มาตรา ๒๖
ครพ.ภษ. 2787/2565
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ฎีกาของโจทก์ทั้งสามที่ว่า จำเลยต้องรับผิดชำระเงินเพิ่มอากรขาเข้าไม่เกินกว่าอากรขาเข้าที่ต้องเสียเพิ่มตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษหรือไม่ เห็นว่า จำเลยนำเข้าสินค้าระหว่างวันที่ ๑๐ กรกฎาคม ๒๕๕๓ ถึงวันที่ 17 กรกฎาคม 2553 ความรับผิดอากรขาเข้าดังกล่าวจึงเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่พระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. ๒๔๖๙ ยังคงมีผลใช้บังคับอยู่ โดยตามพระราชบัญญัติฉบับดังกล่าว มาตรา ๑๑๒ จัตวา บัญญัติว่า “เมื่อผู้นำของเข้าหรือผู้ส่งของออกนำเงินมาชำระค่าอากรที่ต้องเสียหรือเสียเพิ่ม ให้เรียกเก็บเงินเพิ่มในอัตราร้อยละหนึ่งต่อเดือนของค่าอากรที่นำมาชำระโดยไม่คิดทบต้นนับแต่วันที่ได้ส่งมอบหรือส่งของออก จนถึงวันที่นำเงินมาชำระ...” ซึ่งบทบัญญัติดังกล่าวมิได้บัญญัติว่าเงินเพิ่มอากรขาเข้าจะต้องไม่เกินอากรขาเข้าที่ต้องเสียหรือเสียเพิ่ม ดังนี้ เมื่อจำเลยชำระอากรขาเข้าไม่ครบถ้วน โจทก์ที่ ๑ จึงมีสิทธิเรียกเงินเพิ่มอากรขาเข้าได้โดยไม่มีข้อจำกัดว่าจะต้องไม่เกินอากรขาเข้าที่ต้องเสียหรือเสียเพิ่ม ตามบทกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในเวลานั้น แต่ต่อมาวันที่ ๑๓ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ ได้มีพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. ๒๕๖๐ ใช้บังคับ และให้ยกเลิกพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. ๒๔๖๙ โดยพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. ๒๕๖๐ มาตรา ๒๒ บัญญัติว่า “...โดยเงินเพิ่มที่เรียกเก็บนี้ต้องไม่เกินอากรที่ต้องเสียหรือเสียเพิ่ม...” เป็นผลให้โจทก์ที่ ๑ ไม่มีสิทธิตามกฎหมายที่จะเรียกเงินเพิ่มอากรขาเข้าเฉพาะส่วนที่เกินอากรขาเข้านับแต่วันที่พระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. ๒๕๖๐ มีผลใช้บังคับแล้วได้อีกต่อไปก็ตามแต่ก็มิได้เป็นการลบล้างเงินเพิ่มที่เกิดขึ้นแล้วตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. ๒๔๖9 ดังนั้น โจทก์ที่ ๑ ย่อมมีสิทธิคำนวณเรียกเงินเพิ่มส่วนที่เกินอากรขาเข้าได้จนถึงวันที่ ๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ ส่วนนับแต่วันที่ ๑๓ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ หากเงินเพิ่มยังไม่เท่าอากรขาเข้าตามการประเมิน โจทก์ที่ ๑ คงมีสิทธิคำนวณเรียกเงินเพิ่มอากรขาเข้าดังกล่าวต่อไปได้จนกว่าจำนวนเงินเพิ่มจะเท่าจำนวนอากรขาเข้าตามการประเมินดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๒๒ ดังกล่าว เมื่อได้ความจากแบบแจ้งการประเมิน/เรียกเก็บอากรขาเข้า/ขาออก ภาษีสรรพสามิต ภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีอื่น ๆ (กรณีอื่น ๆ) ทั้งสองฉบับว่า เมื่อคำนวณเงินเพิ่มอากรขาเข้าถึงวันที่ ๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ ซึ่งเป็นวันก่อนหน้าวันที่พระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 มีผลใช้บังคับ ยังไม่เกินกว่าจำนวนอากรที่ต้องเสียเพิ่ม โจทก์ที่ ๑ คงมีสิทธิคำนวณเรียกเงินเพิ่มอากรขาเข้าดังกล่าวต่อไปได้จนกว่าจำนวนเงินเพิ่มจะเท่าจำนวนอากรขาเข้าตามการประเมินเท่านั้น ปัญหาว่าจำเลยจะต้องรับผิดชำระเงินเพิ่มอากรขาเข้าเกินกว่าอากรขาเข้าหรือไม่เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน โดยเฉพาะกรณีที่จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ ศาลจะมีคำพิพากษาชี้ขาดให้โจทก์ทั้งสามเป็นฝ่ายชนะคดีโดยจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การมิได้ เว้นแต่ศาลเห็นว่าคำฟ้องของโจทก์ทั้งสามมีมูลและไม่ขัดต่อกฎหมาย ศาลจึงมีอำนาจยกประเด็นปัญหานี้ขึ้นพิจารณาได้ ฎีกาของโจทก์ทั้งสามไม่อาจเปลี่ยนแปลงผลคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ จึงไม่เป็นปัญหาสำคัญที่ศาลฎีกาควรวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๔๙ ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. ๒๕๒๘ มาตรา ๒๖
ครพ.ภษ. ๕๙๖/๒๕๖๗
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามที่จำเลยขออนุญาตฎีกาว่า จำเลยมีสิทธิเรียกเก็บเงินเพิ่มอากรขาเข้าอัตราร้อยละ ๑ ต่อเดือนหรือเศษของเดือนจากต้นเงินอากรขาเข้าที่ชำระขาดตามใบขนสินค้าขาเข้าทั้งสิบสี่ฉบับหรือไม่ เห็นว่า การวิเคราะห์ลักษณะสินค้าที่มีองค์ประกอบเช่นเดียวกับสินค้าพิพาทของโจทก์มีลักษณะเป็นปัญหาการจำแนกประเภทพิกัดอัตราศุลกากร โดยพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยมีความเห็นเกี่ยวกับการจำแนกประเภทพิกัดของสินค้าเปลี่ยนแปลงและแตกต่างไปจากสรุปผลการพิจารณาปัญหาพิกัดอัตราศุลกากรของจำเลยประจำเดือนกันยายน ๒๕๕๒ พฤติการณ์ของโจทก์ที่สำแดงประเภทพิกัดสินค้าพิพาทเหมือนกับสินค้าของผู้นำเข้ารายอื่นซึ่งเคยนำเข้าสินค้าประเภทเดียวกับสินค้าพิพาทมาก่อนนั้นและเป็นไปตามสรุปผลการพิจารณาปัญหาพิกัดอัตราศุลกากรของจำเลยประจำเดือนกันยายน ๒๕๕๒ จนเป็นเหตุให้จำเลยแจ้งการประเมินเรียกเก็บภาษีอากรขาเข้าตามประเภทพิกัดอัตราศุลกากรใหม่ เป็นข้อบ่งชี้ว่าโจทก์เข้าใจโดยสุจริตว่าสินค้าพิพาทของโจทก์ตามใบขนสินค้าขาเข้าทั้งสิบสี่ฉบับ จัดอยู่ในประเภทพิกัดดังกล่าว กรณีจึงไม่อาจถือได้ว่าความรับผิดของโจทก์ในการชำระค่าอากรที่ขาดเกิดจากการที่โจทก์สำแดงเท็จในใบขนสินค้าขาเข้าตามฟ้อง แต่ต้องด้วยกรณีที่ไม่ให้เรียกเก็บเงินเพิ่มเมื่อมีการชำระอากรเพิ่ม เนื่องจากเป็นกรณีที่มีการตรวจเก็บอากรขาดและเจ้าหน้าที่ผู้สำรวจอากรตรวจพบตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. ๒๔๖๙ มาตรา ๑๐๒ ตรี อนุมาตรา ๓ จำเลยจึงไม่มีสิทธิเรียกให้โจทก์ชำระเงินเพิ่ม ตามมาตรา ๑๑๒ จัตวา วรรคหนึ่ง ที่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษพิพากษามานั้นชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยจึงไม่เป็นปัญหาที่เกี่ยวพันกับประโยชน์สาธารณะ หรือความสงบเรียบร้อยของประชาชน และไม่เป็นปัญหาสำคัญอื่นตามข้อกำหนดของประธานศาลฎีกา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๔๙ วรรคสอง (๑) และ (๖) และข้อกำหนดของประธานศาลฎีกาว่าด้วยการขออนุญาตฎีกาในคดีแพ่ง พ.ศ. ๒๕๕๘ ข้อ ๑๓ (๑) ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. ๒๕๒๘ มาตรา ๒๖
ครพ.ภษ. ๕๙๖/๒๕๖๗
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามที่จำเลยขออนุญาตฎีกาว่า จำเลยมีสิทธิเรียกเก็บเงินเพิ่มอากรขาเข้าอัตราร้อยละ ๑ ต่อเดือนหรือเศษของเดือนจากต้นเงินอากรขาเข้าที่ชำระขาดตามใบขนสินค้าขาเข้าทั้งสิบสี่ฉบับหรือไม่ เห็นว่า การวิเคราะห์ลักษณะสินค้าที่มีองค์ประกอบเช่นเดียวกับสินค้าพิพาทของโจทก์มีลักษณะเป็นปัญหาการจำแนกประเภทพิกัดอัตราศุลกากร โดยพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยมีความเห็นเกี่ยวกับการจำแนกประเภทพิกัดของสินค้าเปลี่ยนแปลงและแตกต่างไปจากสรุปผลการพิจารณาปัญหาพิกัดอัตราศุลกากรของจำเลยประจำเดือนกันยายน ๒๕๕๒ พฤติการณ์ของโจทก์ที่สำแดงประเภทพิกัดสินค้าพิพาทเหมือนกับสินค้าของผู้นำเข้ารายอื่นซึ่งเคยนำเข้าสินค้าประเภทเดียวกับสินค้าพิพาทมาก่อนนั้นและเป็นไปตามสรุปผลการพิจารณาปัญหาพิกัดอัตราศุลกากรของจำเลยประจำเดือนกันยายน ๒๕๕๒ จนเป็นเหตุให้จำเลยแจ้งการประเมินเรียกเก็บภาษีอากรขาเข้าตามประเภทพิกัดอัตราศุลกากรใหม่ เป็นข้อบ่งชี้ว่าโจทก์เข้าใจโดยสุจริตว่าสินค้าพิพาทของโจทก์ตามใบขนสินค้าขาเข้าทั้งสิบสี่ฉบับ จัดอยู่ในประเภทพิกัดดังกล่าว กรณีจึงไม่อาจถือได้ว่าความรับผิดของโจทก์ในการชำระค่าอากรที่ขาดเกิดจากการที่โจทก์สำแดงเท็จในใบขนสินค้าขาเข้าตามฟ้อง แต่ต้องด้วยกรณีที่ไม่ให้เรียกเก็บเงินเพิ่มเมื่อมีการชำระอากรเพิ่ม เนื่องจากเป็นกรณีที่มีการตรวจเก็บอากรขาดและเจ้าหน้าที่ผู้สำรวจอากรตรวจพบตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. ๒๔๖๙ มาตรา ๑๐๒ ตรี อนุมาตรา ๓ จำเลยจึงไม่มีสิทธิเรียกให้โจทก์ชำระเงินเพิ่ม ตามมาตรา ๑๑๒ จัตวา วรรคหนึ่ง ที่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษพิพากษามานั้นชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยจึงไม่เป็นปัญหาที่เกี่ยวพันกับประโยชน์สาธารณะ หรือความสงบเรียบร้อยของประชาชน และไม่เป็นปัญหาสำคัญอื่นตามข้อกำหนดของประธานศาลฎีกา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๔๙ วรรคสอง (๑) และ (๖) และข้อกำหนดของประธานศาลฎีกาว่าด้วยการขออนุญาตฎีกาในคดีแพ่ง พ.ศ. ๒๕๕๘ ข้อ ๑๓ (๑) ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. ๒๕๒๘ มาตรา ๒๖