ภาษีอากร : อำนาจเจ้าพนักงานประเมิน มาตรา 88/2 (4)

ครพ.ภษ. ๔๐๙๓/๒๕๖๖

        ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ปัญหาตามฎีกาของโจทก์ประการแรกว่า การประเมินภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับเดือนภาษีสิงหาคม ๒๕๕๐ ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า ในการตรวจสอบจำนวนเรือและปริมาณตู้สินค้าซึ่งเข้ารับบริการที่ท่าเทียบเรือเอ ๐ และท่าเทียบเรือบี ๑ ของการท่าเรือแห่งประเทศไทยในเดือนสิงหาคม ๒๕๕๐ พบว่ามีเรือจอดที่ท่าเทียบเรือบี ๑ และรายงานศุลกากรว่าจอดที่ท่าเทียบเรือบี ๑ จำนวน ๓ ลำ มีเรือจอดที่ท่าเทียบเรือเอ ๐ และรายงานศุลกากรว่าจอดที่ท่าเทียบเรือเอ ๐ จำนวน ๔ ลำ มีเรือจอดที่ท่าเทียบเรือบี ๑ เต็มลำ แต่รายงานศุลกากรว่าเป็นของท่าเทียบเรือเอ ๐ จำนวน ๙ ลำ และมีเรือจอดคาบเกี่ยวระหว่างท่าเทียบเรือบี ๑ และท่าเทียบเรือเอ ๐ แต่รายงานศุลกากรว่าเป็นของท่าเทียบเรือเอ ๐ จำนวน ๑๐ ลำ ซึ่งบริษัท ม. ตัวแทนเรือของบริษัท อ. ยอมรับผิดว่ารายงานเรือเข้าเป็นเท็จ และมีการออกใบเสร็จรับเงินค่าบริการเป็นรายได้ของท่าเทียบเรือเอ ๐ แสดงว่าในเดือนสิงหาคม ๒๕๕๐ มีเรือเข้ามาใช้บริการที่ท่าเทียบเรือเอ ๐ ของโจทก์ทั้งสิ้น ๑๔ ลำ เมื่อโจทก์อ้างว่ามีการรับรู้รายได้และรายงานรายได้สำหรับเรือ ๒๓ ลำ ซึ่งเป็นลูกค้าของโจทก์ในเดือนสิงหาคม ๒๕๕๐ ตามความรับผิดทางภาษีมูลค่าเพิ่มถูกต้องแล้ว รายได้ที่เสียภาษีมูลค่าเพิ่มเดือนภาษีพิพาทมาจากการที่โจทก์ให้บริการยกและบริหารจัดการตู้สินค้าสำหรับเรือที่เข้าเทียบท่าในเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๐ และเดือนสิงหาคม ๒๕๕๐ เท่าที่โจทก์ได้รับชำระ แต่ทางนำสืบของโจทก์กลับไม่ปรากฏว่าโจทก์นำรายได้สำหรับเรือ ๒๓ ลำ ดังกล่าวมาเสียภาษีมูลค่าเพิ่มในเดือนภาษีพิพาทหรือเดือนภาษีอื่นตามที่โจทก์อ้างหรือไม่ อย่างไร และเมื่อเจ้าพนักงานประเมินของจำเลยให้โจทก์จำแนกรายได้ของรายการเรือ ๔๙๕ เที่ยวเรือที่รายงานเข้าจุดจอดเรือไม่ตรงกับความเป็นจริงว่า โจทก์และบริษัท ซ. บันทึกรายได้ที่เรียกเก็บ
จากการให้บริการอย่างไร จำนวนเท่าใด เป็นรายได้ที่ต้องเสียภาษีหรือได้รับยกเว้นภาษี โจทก์ก็ไม่อาจชี้แจงได้โดยจัดทำให้เพียงเรือ ๑๐ ลำ เมื่อโจทก์ไม่สามารถนำสืบพิสูจน์ที่มาในการบันทึกรายได้ที่แท้จริงจากการให้บริการเรือแต่ละลำที่จอดที่ท่าเทียบเรือเอ ๐ และจอดคาบเกี่ยวระหว่างท่าเทียบเรือเอ ๐ และท่าเทียบเรือบี ๑ ได้ ทั้งที่เป็นข้อมูลที่เกี่ยวกับการประกอบกิจการของโจทก์และอยู่ในการรู้เห็นของโจทก์โดยตรงว่ารายได้ของโจทก์เป็นอย่างไร เมื่อโจทก์และบริษัท ซ. ต่างประกอบกิจการท่าเทียบเรือให้บริการขนถ่ายสินค้าตู้คอนเทนเนอร์เช่นเดียวกัน และมีการรายงานจุดจอดของเรือที่เข้ามาใช้บริการระหว่างท่าเทียบเรือทั้งสองท่าของทั้งสองบริษัทไม่ตรงกับความเป็นจริง การที่เจ้าพนักงานประเมินนำรายได้จากการประกอบกิจการโดยตรงและจำนวนตู้สินค้าที่เข้ารับบริการของทั้งสองบริษัทดังกล่าวในปี ๒๕๕๐ มาคำนวณหารายได้เฉลี่ยได้อัตราค่าบริการ ๑,๔๕๘.๐๙ บาท ต่อทีอียูแล้วคำนวณหารายได้จากการประกอบกิจการโดยตรงของโจทก์ในเดือนภาษีพิพาทจากจำนวนเรือที่จอดที่ท่าเทียบเรือเอ ๐ และจอดคาบเกี่ยวระหว่างท่าเทียบเรือเอ ๐ กับท่าเทียบเรือบี ๑ โดยปันส่วนจำนวนตู้สินค้าที่เข้ารับบริการตามสัดส่วนการใช้พื้นที่ จึงเป็นการกำหนดมูลค่าที่ควรได้รับโดยพิจารณาถึงฐานะความเป็นอยู่หรือพฤติการณ์ของผู้ประกอบการหรือสถิติการค้าของผู้ประกอบการเองหรือของผู้ประกอบการที่กระทำกิจการทำนองเดียวกัน หรือพิจารณาจากหลักเกณฑ์อย่างอื่นอันอาจแสดงมูลค่าที่ได้รับโดยสมควร ตามประมวลรัษฎากร มาตรา ๘๘/๒ (๔) แล้ว ในเดือนภาษีพิพาทโจทก์จึงมีรายได้อันเป็นยอดขายที่ต้องนำมาเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม ๓๘,๓๙๓,๙๓๐.๑๓ บาท การที่โจทก์ยื่นแบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่มแสดงยอดขายเพียง ๑๒,๙๖๒,๑๒๔.๙๐ บาท จึงเป็นกรณีที่โจทก์ยื่นแบบแสดงรายการภาษีโดยแสดงจำนวนภาษีที่ต้องเสียต่ำกว่าความเป็นจริง เจ้าพนักงานประเมินจึงมีอำนาจประเมินภาษีมูลค่าเพิ่มโจทก์ตามประมวลรัษฎากรมาตรา ๘๘ (๒) การประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยจึงชอบด้วยกฎหมาย ปัญหาตามฎีกาของโจทก์ในประการต่อมาว่า มีเหตุลดหรืองดเบี้ยปรับและเงินเพิ่มให้แก่โจทก์หรือไม่ เห็นว่า โจทก์ยื่นแบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่มโดยแสดงจำนวนภาษีที่ต้องเสียต่ำกว่าความเป็นจริง และโจทก์ไม่สามารถจำแนกรายได้ค่าบริการเรือต่อเจ้าพนักงานประเมินของจำเลยได้ ที่เจ้าพนักงานประเมินของจำเลยลดเบี้ยปรับลงคงเรียกเก็บร้อยละ ๕๐ ของเบี้ยปรับตามกฎหมายนับว่าเป็นคุณแก่โจทก์แล้ว พฤติการณ์แห่งคดีจึงไม่มีเหตุสมควรลดหรืองดเบี้ยปรับและเงินเพิ่มให้อีก ฎีกาของโจทก์ไม่เป็นปัญหาที่เกี่ยวพันกับประโยชน์สาธารณะ หรือความสงบเรียบร้อยของประชาชน ไม่เป็นกรณีที่คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษได้วินิจฉัยข้อกฎหมายที่สำคัญซึ่งยังไม่มีแนวคำพิพากษาของศาลฎีกามาก่อน และไม่เป็นกรณีที่การวินิจฉัยของศาลฎีกาจะเป็นการพัฒนาการตีความกฎหมาย อันไม่เป็นปัญหาสำคัญที่ศาลฎีกาควรวินิจฉัย

เผยแพร่โดย

แผนกภาษีอากรในศาลฎีกา

วันที่เผยแพร่
06/03/2567
เข้าดู
8
Share