ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง : การยื่นคำร้องขออนุญาตฎีกา

        ครพ.ภษ. ๔๔๕๑-๔๔๕๒/๒๕๖๖

    ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว เห็นว่า การฎีกาคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๔๗ ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. ๒๕๒๘ มาตรา ๒๖ กำหนดให้กระทำได้เมื่อได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา การขออนุญาตฎีกา ให้ยื่นคำร้องพร้อมกับคำฟ้องฎีกาต่อศาลชั้นต้นที่มีคำพิพากษาหรือคำสั่งในคดีนั้นภายในกำหนดหนึ่งเดือนนับแต่วันที่ได้อ่านคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ แล้วให้ศาลชั้นต้นรีบส่งคำร้องพร้อมคำฟ้องฎีกาดังกล่าวไปยังศาลฎีกา และให้ศาลฎีกาพิจารณาวินิจฉัยคำร้องให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว และตามข้อกำหนดของประธานศาลฎีกาว่าด้วยการขออนุญาตฎีกาในคดีแพ่ง พ.ศ. ๒๕๕๘ ข้อ ๘ กำหนดว่า ให้ศาลชั้นต้นมีอำนาจตรวจคำร้องและคำฟ้องฎีกาและมีคำสั่งตามมาตรา ๑๘ แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง หากผู้ร้องไม่ปฏิบัติตามคำสั่ง ให้ศาลชั้นต้นรีบส่งคำร้องและคำฟ้องฎีกาดังกล่าวพร้อมสำนวนความไปยังศาลฎีกาเพื่อพิจารณาสั่งต่อไป จากบทบัญญัติของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๔๗ ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. ๒๕๒๘ มาตรา ๒๖ และข้อกำหนดของประธานศาลฎีกาดังกล่าว แสดงว่าผู้ฎีกาจะต้องยื่นคำร้องขออนุญาตฎีกาพร้อมคำฟ้องฎีกาซึ่งต้องยื่นภายในกำหนดหนึ่งเดือนนับแต่วันที่ได้อ่านคำพิพากษาหรือคำสั่งศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษหรือภายในระยะเวลาที่ได้รับอนุญาตให้ขยายและให้ศาลภาษีอากรกลางมีอำนาจตรวจคำร้องและคำฟ้องฎีกาและมีคำสั่งตามมาตรา ๑๘ หากผู้ฎีกาไม่ปฏิบัติตามคำสั่ง ให้ศาลภาษีอากรกลางรีบส่งคำร้องและคำฟ้องฎีกาดังกล่าวพร้อมสำนวนความไปยังศาลฎีกาเพื่อพิจารณาสั่งต่อไป ศาลภาษีอากรกลางจะสั่งไม่รับคำร้องหรือไม่รับฎีกาเสียเองไม่ได้ การที่ศาลภาษีอากรกลางสั่งไม่รับคำร้องและไม่รับฎีกาเพราะเหตุยื่นพ้นกำหนดเวลายื่นฎีกา เป็นกรณีที่ศาลภาษีอากรกลางมีคำสั่งไปโดยไม่มีอำนาจตามกฎหมายจึงเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ให้เพิกถอนคำสั่งของศาลภาษีอากรกลางดังกล่าวและจะได้มีคำสั่งตามคำร้องให้ถูกต้องต่อไป
กรณีจึงไม่จำต้องวินิจฉัยคำร้องอุทธรณ์คำสั่งที่ไม่รับฎีกาของโจทก์ที่ ๑ และที่ ๒ อีกต่อไป

          ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรเห็นสมควรพิจารณาและมีคำสั่งเกี่ยวกับคำร้องขออนุญาตฎีกาและคำฟ้องฎีกาของโจทก์ที่ ๑ และที่ ๒ ดังนี้ พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า ศาลภาษีอากรกลางขยายระยะเวลาให้โจทก์ที่ ๑ และที่ ๒ ยื่นคำร้องขออนุญาตฎีกาและคำฟ้องฎีกาภายในวันที่ ๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๕ ซึ่งเป็นวันเสาร์อันเป็นวันหยุดราชการ แต่ปรากฏว่า โจทก์ที่ ๑ และที่ ๒ ยื่นคำร้องขออนุญาตฎีกาและคำฟ้องฎีกาผ่านระบบบริการออนไลน์ศาลยุติธรรม (CIOS) เมื่อวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๕ อันเป็นวันทำการแรก ในเวลา ๑๗.๓๑ นาฬิกา และ ๑๘.๒๔ นาฬิกา ตามลำดับ ซึ่งตามประกาศสำนักงานศาลยุติธรรม เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการยื่น ส่ง และรับคำคู่ความและเอกสารทางระบบรับส่งอิเล็กทรอนิกส์ ข้อ ๗ ระบุว่า การยื่นคำคู่ความหรือเอกสารทางระบบ หากกระทำเสร็จสมบูรณ์นอกเวลาทำการปกติหรือนอกวันทำการปกติของศาล ให้ถือว่าเป็นการยื่นในเวลาแรกหรือวันทำการแรกที่ศาลเปิดทำการปกติถัดไป ทั้งนี้ ให้ถือตามเวลาของระบบ เมื่อเวลาในระบบระบุว่า โจทก์ที่ ๑ และที่ ๒ ยื่นคำร้องขออนุญาตฎีกาและคำฟ้องฎีกาในเวลา ๑๗.๓๑ นาฬิกา และ ๑๘.๒๔ นาฬิกา ตามลำดับ อันเป็นการล่วงเลยเวลา ๑๖.๓๐ นาฬิกา ซึ่งเป็นเวลาทำการปกติของทางราชการศาล จึงถือว่า โจทก์ที่ ๑ และที่ ๒ ยื่นคำร้องขออนุญาตฎีกาและคำฟ้องฎีกาต่อศาลในวันที่ ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๖๕ ซึ่งเป็นวันทำการแรกที่ศาลเปิดทำการปกติถัดไป จึงเป็นการยื่นคำร้องขออนุญาตฎีกาและคำฟ้องฎีกาเมื่อพ้นกำหนดระยะเวลายื่นฎีกาแล้ว ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๔๗ ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. ๒๕๒๘ มาตรา ๒๖

เผยแพร่โดย

แผนกภาษีอากรในศาลฎีกา

วันที่เผยแพร่
06/03/2567
เข้าดู
8
Share