ครพ.ภษ.2286/2567
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ปัญหาตามที่โจทก์ทั้งสองขออนุญาตฎีกาประการแรกว่า การที่พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยปรับปรุงรายจ่ายต้นทุนการก่อสร้างของกิจการร่วมค้า ท. สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีตั้งแต่วันที่ ๔ มิถุนายน ๒๕๕๖ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๖ ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า คำสั่งกรมสรรพากรที่ ท.ป. ๑/๒๕๒๘ ประกอบ ท.ป. ๑๕๕/๒๕๔๙ เรื่อง การใช้เกณฑ์สิทธิในการคำนวณรายได้และรายจ่ายของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ได้วางแนวปฏิบัติในการคำนวณรายได้และรายจ่ายแตกต่างออกไปในรายละเอียดสำหรับกิจการก่อสร้างในข้อ ๓.๖ ว่า การคำนวณรายได้และรายจ่ายบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ซึ่งประกอบกิจการก่อสร้างให้ใช้เกณฑ์สิทธิ โดยต้องนำรายได้และรายจ่ายที่เกี่ยวข้องตามอัตราส่วนของงานที่ทำเสร็จตามวิธีการทางบัญชีที่รับรองทั่วไปมารวมคำนวณเป็นรายได้และรายจ่ายในรอบระยะเวลาบัญชีนั้น ซึ่งผู้รับมอบอำนาจของกิจการร่วมค้า ท. ได้ให้การกับเจ้าพนักงานของจำเลยในชั้นตรวจสอบว่ากิจการร่วมค้า ท. รับรู้รายได้ตามงวดงานที่เสร็จ และมีการลงบัญชีรายได้และรายจ่ายตามอัตราส่วนของงานที่ทำเสร็จในรอบระยะเวลาบัญชีนั้น มาบันทึกเป็นรายได้และรายจ่าย แสดงว่ากิจการร่วมค้า ท. ได้ปฏิบัติในการคำนวณรายได้และรายจ่ายตามอัตราส่วนของงานที่ทำเสร็จ และให้ถือว่าการปฏิบัติดังกล่าวเป็นกรณีที่ได้รับอนุมัติจากอธิบดีกรมสรรพากรแล้ว กิจการร่วมค้า ท. จะต้องถือปฏิบัติตามวิธีการที่ได้รับอนุมัตินั้นตลอดไป เว้นแต่จะได้รับอนุมัติให้เปลี่ยนแปลงจากอธิบดีกรมสรรพากร ตามคำสั่งกรมสรรพากรที่ ท.ป. ๑/๒๕๒๘ ข้อ ๒ และข้อ ๓ ซึ่งไม่ปรากฏว่ากิจการร่วมค้า ท. ได้รับอนุมัติให้เปลี่ยนแปลงการปฏิบัติจากอธิบดีกรมสรรพากรอีก การที่เจ้าพนักงานของจำเลยคำนวณต้นทุนการก่อสร้างโดยจับคู่รายได้ค่าก่อสร้างกับต้นทุนการก่อสร้างที่เกิดขึ้นตามขั้นความสำเร็จของงานก่อสร้างในรอบระยะเวลาบัญชีพิพาทโดยใช้รายได้ตามสัญญารับเหมาก่อสร้างกับรายได้ตามมูลค่าที่ทำสำเร็จมาคำนวณขั้นความสำเร็จของงานคิดเป็นอัตราส่วนของงานที่ทำเสร็จได้ร้อยละ ๘๑.๙๒ ตามมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ ๔๙ (ปรับปรุง ๒๕๕๐) เรื่อง สัญญาก่อสร้าง ซึ่งเมื่อคำนวณการรับรู้ต้นทุนการก่อสร้างตามอัตราส่วนของงานที่ทำเสร็จในรอบระยะเวลาบัญชีพิพาทในอัตราร้อยละ๘๑.๙๒ จะเท่ากับ ๒๔๕,๕๔๔,๗๒๔.๐๗ บาท จึงเหมาะสมแล้ว การที่เจ้าพนักงานของจำเลยปรับปรุงกำไรสุทธิของกิจการร่วมค้า ท. และมีคำสั่งให้คืนเงินค่าภาษีอากรแก่กิจการร่วมค้า ท. ๒,๘๙๐,๐๓๘.๒๔ บาท จึงชอบแล้ว ปัญหาตามที่โจทก์ทั้งสองขออนุญาตฎีกาประการต่อมาว่า จำเลยต้องชำระดอกเบี้ยสำหรับเงินค่าภาษีอากรที่สั่งคืนให้แก่โจทก์ทั้งสองหรือไม่ เพียงใด เห็นว่า ตามคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ทั้งสอง ข้อ ๑ ระบุว่า ให้จำเลยคืนเงินค่าภาษีอากรให้โจทก์ทั้งสอง ๕,๓๔๓,๑๘๔.๗๗ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑ ต่อเดือนของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ ๓๐ สิงหาคม ๒๕๕๗ ถึงวันฟ้องเป็นดอกเบี้ย ๔,๒๒๑,๑๑๖.๑๕ บาท และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑ ต่อเดือนของต้นเงินดังกล่าวนับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ทั้งสอง ถือว่าโจทก์ไม่ได้มีคำขอท้ายฟ้องเกี่ยวกับดอกเบี้ยสำหรับเงินค่าภาษีอากรที่สั่งคืน ๒,๘๙๐,๐๓๘.๒๔ บาท กรณีไม่อาจเปลี่ยนแปลงผลของคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษได้ ฎีกาของโจทก์ทั้งสองจึงไม่เป็นปัญหาที่เกี่ยวพันกับประโยชน์สาธารณะ หรือความสงบเรียบร้อยของประชาชน และไม่เป็นกรณีที่คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษได้วินิจฉัยข้อกฎหมายที่สำคัญขัดกันหรือขัดกับแนวบรรทัดฐานของคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลฎีกา อันไม่เป็นปัญหาสำคัญที่ศาลฎีกาควรวินิจฉัย