ครพ.ภษ.๒๖๐๗/๒๕๖๗
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว คดีมีปัญหาตามที่โจทก์ขออนุญาตฎีกาว่า เจ้าพนักงานประเมินทำการประเมินภาษีมูลค่าเพิ่มภายในกำหนดเวลาตามกฎหมาย หรือไม่ เห็นว่า ขณะที่โจทก์นำเข้าสินค้าตามใบขนสินค้าขาเข้าพิพาท ๔๐ ฉบับ โจทก์ได้รับสิทธิและประโยชน์ยกเว้นอากรขาเข้าสำหรับวัตถุดิบและวัสดุจำเป็นตามพ.ร.บ.ส่งเสริมการลงทุน พ.ศ. ๒๕๒๐ มาตรา ๓๖ (๑) การยื่นใบขนสินค้าขาเข้าพร้อมแบบแสดงรายการภาษีสรรพสามิตและภาษีมูลค่าเพิ่มขณะนำเข้าจึงเป็นการยื่นเฉพาะสำหรับกรณีเพื่อแสดงว่าตนได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียอากรขาเข้าและแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่มไว้ถูกต้อง ณ ขณะที่ได้รับสิทธิและประโยชน์โดยมีเงื่อนไข ต่อมาเมื่อคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนสั่งเพิกถอนสิทธิและประโยชน์บางส่วนตามใบขนสินค้าพิพาทที่ให้แก่โจทก์ซึ่งตามพ.ร.บ.ส่งเสริมการลงทุนฯ มาตรา ๕๕ วรรคหนึ่ง ให้ถือว่าโจทก์ไม่เคยได้รับยกเว้นอากรขาเข้าตามใบขนสินค้าพิพาทมาแต่ต้นและโจทก์ต้องเสียอากรขาเข้าโดยถือสภาพของของ ราคา และอัตราอากรขาเข้าที่เป็นอยู่ในวันนำเข้าเป็นเกณฑ์ในการคำนวณอากรขาเข้า ส่งผลให้ความรับผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มที่เกิดจากการนำเข้าสินค้าดังกล่าวเปลี่ยนไปเป็นเกิดขึ้นเมื่อต้องชำระอากรขาเข้า วางหลักประกันอากรขาเข้าหรือจัดให้มีผู้ค้ำประกันอากรขาเข้า ตามป.รัษฎากร มาตรา ๗๘/๒ (๑) และตามพ.ร.บ.ส่งเสริมการลงทุนฯ มาตรา ๕๕ วรรคสาม กำหนดให้ผู้ได้รับการส่งเสริมต้องแจ้งขอชำระภาษีอากรต่อกรมศุลกากรหรือด่านศุลกากรที่ได้นำของนั้นเข้ามาภายในหนึ่งเดือนนับแต่วันทราบคำสั่งเพิกถอนสิทธิและประโยชน์เกี่ยวกับภาษีอากร ทั้งในวรรคห้ากำหนดให้เพื่อประโยชน์ในการดำเนินคดี การนับอายุความตามมาตรานี้ ให้เริ่มนับเมื่อพ้นหนึ่งเดือนนับแต่วันทราบคำสั่ง ดังนั้น เมื่อโจทก์ทราบคำสั่งเพิกถอนสิทธิและประโยชน์ดังกล่าวเมื่อวันที่ ๖ มิถุนายน ๒๕๖๑ โดยหนังสือแจ้งคำสั่งระบุให้โจทก์ไปดำเนินการชำระภาษีอากรกับกรมศุลกากร พร้อมแนบบัญชีรายการวัตถุดิบและวัสดุจำเป็นที่เพิกถอนสิทธิและประโยชน์ไปด้วย โจทก์จึงมีหน้าที่ต้องแจ้งขอชำระอากรขาเข้าสำหรับกรณีถูกเพิกถอนสิทธิและประโยชน์ยกเว้นอากรขาเข้าสำหรับวัตถุดิบและวัสดุจำเป็นตามใบขนสินค้าพิพาทต่อกรมศุลกากรภายในหนึ่งเดือนนับแต่วันทราบคำสั่งเพิกถอนสิทธิและประโยชน์เกี่ยวกับภาษีอากรดังกล่าว และมีหน้าที่ยื่นแบบแสดงรายการภาษีและชำระภาษีมูลค่าเพิ่มตามความรับผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มที่เกิดขึ้นสำหรับกรณีนี้เมื่อต้องชำระอากรขาเข้า แต่ข้อเท็จจริงปรากฏว่าโจทก์แจ้งขอชำระเพียงอากรขาเข้าเมื่อวันที่ ๒๔ มกราคม ๒๕๖๒ ซึ่งเกินกำหนดเวลาดังกล่าวตามพ.ร.บ.ส่งเสริมการลงทุนฯ มาตรา ๕๕ วรรคสาม โดยมิได้ชำระภาษีมูลค่าเพิ่มแต่อย่างใด จึงถือได้ว่าโจทก์ในฐานะผู้ประกอบการยังมิได้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีและชำระภาษีมูลค่าเพิ่มกรณีถูกเพิกถอนสิทธิและประโยชน์ยกเว้นอากร เจ้าพนักงานประเมินจึงมีอำนาจในการประเมินภาษีมูลค่าเพิ่มภายหลังจากกำหนดเวลาหนึ่งเดือนดังกล่าวสิ้นสุดลง และเมื่อป.รัษฎากร มาตรา ๘๘/๖ (๑) (ค) กำหนดให้การประเมินของเจ้าพนักงานประเมินให้กระทำได้ภายในกำหนดเวลาสิบปีนับแต่วันสุดท้ายแห่งกำหนดเวลายื่นแบบแสดงรายการภาษี ในกรณีที่ผู้มีหน้าที่ยื่นแบบแสดงรายการภาษีมิได้ยื่นแบบแสดงรายการภาษี จึงเป็นกรณีที่ประมวลรัษฎากรได้กำหนดระยะเวลาในการประเมินไว้เป็นการเฉพาะ เจ้าพนักงานประเมินจึงมีอำนาจในการประเมินภาษีมูลค่าเพิ่มภายในกำหนดเวลาสิบปีนับตั้งแต่กำหนดเวลาหนึ่งเดือนดังกล่าวสิ้นสุดลง คือนับตั้งแต่วันที่ ๗ กรกฎาคม ๒๕๖๑ การที่เจ้าพนักงานประเมินออกแบบแจ้งการประเมิน ๔๐ ฉบับ เมื่อวันที่ ๕ เมษายน ๒๕๖๒ และโจทก์ได้รับแบบแจ้งการประเมินดังกล่าวโดยชอบแล้วเมื่อวันที่ ๑๑ เมษายน ๒๕๖๒จึงเป็นการประเมินภายในกำหนดเวลาตามกฎหมายแล้ว ฎีกาของโจทก์ไม่อาจเปลี่ยนแปลงผลของคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษอันไม่เป็นปัญหาสำคัญที่ศาลฎีกาควรวินิจฉัย