ครพ.ภษ.๔๕๒๑/๒๕๖๗
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ปัญหาตามฎีกาของโจทก์ที่ว่า การประเมินของพนักงานประเมินชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ พิเคราะห์แล้ว การจะพิจารณาว่าที่ดินพิพาทเป็นทรัพย์สินที่ได้รับยกเว้นการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างหรือไม่ ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่บัญญัติไว้ใน พ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. ๒๕๖๒ ซึ่งมาตรา ๘ (๑๐) บัญญัติให้ยกเว้นการจัดเก็บภาษีสำหรับที่ดินอันเป็นสาธารณูปโภคตามกฎหมายว่าด้วยการจัดสรรที่ดิน ที่ดินพิพาทเดิมเป็นโฉนดที่ดินเลขที่ ๓๗๐๑ เนื้อที่ ๑ ไร่ ๒ งาน ๗๓ ตารางวา ต่อมาวันที่ ๖ กรกฎาคม ๒๕๓๖ มีการจดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินพิพาทในนามเดิมออกเป็นโฉนดที่ดินเลขที่ ๔ ถึง ๑๑ รวมที่ดินแปลงคงที่พิพาทเป็น ๙ แปลง วันที่ ๒๘ ธันวาคม ๒๕๓๖ เจ้าของเดิมจดทะเบียนขายที่ดินโฉนดเลขที่ ๔ แก่นาย ป. ขายที่ดินโฉนดเลขที่ ๕ แก่นางสาว ผ. ขายที่ดินโฉนดเลขที่ ๖ แก่นาย ส. ขายที่ดินโฉนดเลขที่ ๗ แก่นาย ศ. ขายที่ดินโฉนดเลขที่ ๘ แก่นาย ว. ขายที่ดินโฉนดเลขที่ ๙ แก่นาย น. ขายที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๐ แก่นาย ร. และขายที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๑ แก่นาย ช. และในเดือนมิถุนายน ๒๕๓๗ เจ้าของที่ดินคนใหม่ต่างมีการแบ่งแยกที่ดินโฉนดเลขที่ ๔ ถึง ๑๑ แต่ละแปลงออกเป็นแปลงย่อย ๔ ถึง ๖ แปลง รวมเป็นที่ดินแปลงย่อยที่แบ่งออกมา ๔๒ แปลง ส่วนที่ดินพิพาทเหลือเนื้อที่ ๒ งาน ๑๙.๘ ตารางวา วันที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๓๘ และวันที่ ๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๘ มีการจดทะเบียนภาระจำยอมในที่ดินพิพาทเต็มทั้งแปลงโดยไม่มีค่าตอบแทนให้แก่ที่ดินแปลงย่อยดังกล่าวทั้ง ๔๒ แปลง เห็นว่า ในวันที่ ๖ กรกฎาคม ๒๕๓๖ ที่มีการแบ่งที่ดินเดิมออกไปรวมเป็นที่ดินทั้งหมด ๙ แปลง และเจ้าของที่ดินคนใหม่ต่างแบ่งที่ดินออกไปอีก ๔ ถึง ๖ แปลง แต่ไม่ถึง ๑๐ แปลง และไม่ปรากฏข้อเท็จจริงในทางนำสืบของโจทก์ว่าเจ้าของที่ดินเดิมและเจ้าของที่ดินคนใหม่ได้ร่วมกันจัดสรรที่ดินหรือร่วมกันจัดจำหน่ายที่ดินแปลงย่อยหรือมีการขอและได้รับใบอนุญาตให้ทำการจัดสรรที่ดินพิพาทตาม ปว.ฉบับที่ ๒๘๖ ประกาศ ณ วันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๑๕ ทั้งพยานจำเลยทั้งสองปากนาย พ. เบิกความว่า ที่ดินพิพาทได้ใช้ประโยชน์ในลักษณะเป็นถนนทางเข้าออกพื้นที่ และเจ้าของทรัพย์สินโดยรอบประกอบการพาณิชย์ ซึ่งบนถนนในที่ดินพิพาทมีร้านค้าตั้งเรียงรายอยู่จำนวนมากโดยโจทก์ไม่ได้โต้แย้งให้เห็นเป็นอย่างอื่น ทำให้เชื่อว่าการที่โจทก์ซื้อและรับโอนกรรมสิทธิ์รวมบางส่วนในที่ดินพิพาทมาเมื่อปี ๒๕๖๒ ทั้งที่ที่ดินพิพาทใช้เป็นถนนและติดภาระจำยอมแก่ที่ดิน ๔๒ แปลง ก็เพื่อหาประโยชน์จากร้านค้าจำนวนมากที่ตั้งเรียงรายบนถนนในที่ดินพิพาท ส่วนบทบัญญัติตาม ป.ที่ดิน มาตรา ๗๙ เป็นเพียงเรื่องการแบ่งแยกที่ดินหรือรวมที่ดิน มิใช่การจัดสรรที่ดินตามที่โจทก์อ้าง ข้อเท็จจริงจึงยังรับฟังไม่ได้ว่าที่ดินพิพาทเป็นสาธารณูปโภค ตามกฎหมายว่าด้วยการจัดสรรที่ดินอันจะได้รับยกเว้นจากการจัดเก็บภาษีตาม พ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างฯ มาตรา ๘ (๑๐) ส่วนที่มาตรา ๘ (๑๒) ให้ทรัพย์สินอื่นตามที่กำหนดในกฎกระทรวงได้รับยกเว้นจากการจัดเก็บภาษีนั้น กฎกระทรวง กำหนดทรัพย์สินที่ได้รับยกเว้นจากการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. ๒๕๖๒ ได้ระบุประเภททรัพย์สินที่ยกเว้นไว้อย่างชัดเจนว่า ทรัพย์สินใดได้รับยกเว้นเฉพาะที่ดิน ทรัพย์สินใดได้รับยกเว้นเฉพาะสิ่งปลูกสร้าง หรือทรัพย์สินใดได้รับยกเว้นทั้งที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ซึ่งกฎกระทรวงดังกล่าว (๙) ให้ยกเว้นเฉพาะสิ่งปลูกสร้างที่เป็นถนน และ (๑๐) ให้ยกเว้นที่ดินที่มีกฎหมายกำหนดห้ามมิให้ทำประโยชน์ เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า ที่ดินพิพาทมีสิ่งปลูกสร้างเป็นถนนคอนกรีตด้วย จึงได้รับยกเว้นเฉพาะส่วนที่เป็นถนน แต่ในส่วนที่ดินพิพาทย่อมไม่ได้รับยกเว้นจากการจัดเก็บภาษีตาม พ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างฯ ประกอบกับการประเมินของพนักงานประเมินเป็นการประเมินเฉพาะที่ดินไม่รวมสิ่งปลูกสร้างที่เป็นถนน การประเมินของพนักงานประเมินจึงชอบแล้ว เมื่อวินิจฉัยดังนี้แล้วฎีกาข้ออื่นของโจทก์ ไม่จำต้องวินิจฉัย เพราะไม่อาจเปลี่ยนแปลงผลคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ ฎีกาของโจทก์ไม่เป็นปัญหาสำคัญที่ศาลฎีกาควรวินิจฉัย