ครพ.ภษ.๕๖๗๘/๒๕๖๗
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ปัญหาตามที่จำเลยขออนุญาตฎีกาว่า ที่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษยังไม่เห็นสมควรที่จะสั่งจำหน่ายคดีของโจทก์ด้วยเหตุทิ้งฟ้อง ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษแล้วว่า โจทก์ทราบคำสั่งศาลภาษีอากรกลางตามหมายแจ้งคำสั่งฉบับลงวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๖๕ แล้วโดยชอบ แต่โจทก์ไม่ดำเนินคดีภายในเวลาที่ศาลกำหนด ซึ่งในกรณีที่โจทก์เพิกเฉยไม่ดำเนินคดีภายในเวลาที่ศาลเห็นสมควรกำหนดไว้เพื่อการนั้นตาม ป.วิ.พ. มาตรา ๑๗๔ (๒) มิได้บังคับเด็ดขาดว่าศาลจะต้องมีคำสั่งว่าโจทก์ทิ้งฟ้องและจำหน่ายคดีทุกกรณี แต่ให้ศาลใช้ดุลพินิจว่าจะมีคำสั่งว่าโจทก์ทิ้งฟ้องแล้วจำหน่ายคดีตามมาตรา ๑๓๒ (๑) หรือไม่ก็ได้ โดยคำนึงถึงเหตุผลอันสมควรและยุติธรรม เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า เหตุที่ศาลภาษีอากรกลางมีหมายแจ้งคำสั่งฉบับลงวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๖๕ ไปยังโจทก์ก็สืบเนื่องมาจากศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางโอนคดีมายังศาลภาษีอากรกลาง โดยภายหลังจากที่โจทก์ทราบคำสั่งศาลภาษีอากรกลางที่ถือว่าโจทก์ทิ้งฟ้องและให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความแล้ว โจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งตามหมายแจ้งคำสั่งฉบับลงวันที่ ๑๗ มกราคม ๒๕๖๖ และขอนำส่งคำฟ้องฉบับใหม่พร้อมขอชำระค่าขึ้นศาล ทั้งได้ยื่นอุทธรณ์คำสั่งที่ถือว่าโจทก์ทิ้งฟ้องและให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ ประกอบกับขณะที่โจทก์ฟ้องคดีต่อศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง โจทก์ได้ชำระค่าขึ้นศาลแล้วเป็นเงิน ๒๐๐,๐๐๐ บาท แสดงว่าโจทก์ยังประสงค์ดำเนินคดีแก่จำเลย กรณียังไม่สมควรจำหน่ายคดีของโจทก์ ทั้งนี้เพื่อให้คู่ความได้ว่ากล่าวกันในเนื้อหาแห่งคดีกันต่อไป แม้ว่าผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษจะมีความเห็นแย้งในคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษที่จำเลยฎีกาคัดค้านก็ตาม แต่ความเห็นแย้งดังกล่าวเป็นดุลพินิจในการรับฟังข้อเท็จจริงที่ไม่มีเหตุสมควรวินิจฉัย ฎีกาของจำเลยจึงไม่เป็นปัญหาที่เกี่ยวพันกับประโยชน์สาธารณะ หรือความสงบเรียบร้อยของประชาชน ไม่เป็นกรณีที่คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษได้วินิจฉัยข้อกฎหมายที่สำคัญซึ่งยังไม่มีแนวคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลฎีกามาก่อน และไม่เป็นกรณีที่คำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษมีความเห็นแย้งในสาระสำคัญและศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัย