กรณีทำสัญญาค้ำประกันโดยมีข้อตกลงยกเว้น ป.พ.พ. มาตรา ๗๐๐ วรรคหนึ่ง (เดิม) ก่อนมีการแก้ไข ไม่ทำให้ผู้ค้ำประกันหลุดพ้นจากความรับผิด (ฎีกาที่ ๕๒๘๑/๒๕๖๒)

                แม้ภายหลังจากจำเลยที่  ๑ ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์จากโจทก์ ตามเอกสารหมาย จ.๗ โจทก์กับจำเลยที่  ๑  ได้ทำสัญญาปรับโครงสร้างหนี้สัญญาเช่าซื้อ  ตามเอกสารหมาย จ.๑๑  โดยมีความตกลงเกี่ยวกับการชำระค่าเช่าซื้อกันใหม่  จากเดิมที่กำหนดชำระค่าเช่าซื้อกันไว้  ๗๒  งวด เริ่มชำระงวดแรกวันที่  ๕  ธันวาคม ๒๕๕๖ เป็นกำหนดชำระค่าเช่าซื้อรวม  ๘๔  งวด เริ่มชำระงวดแรกวันที่  ๑๐  ธันวาคม ๒๕๕๘ ซึ่งความตกลงดังกล่าวเป็นผลให้ระยะเวลาที่จำเลยที่  ๑ ต้องผ่อนชำระค่าเช่าซื้อทอดยาวออกไปกว่าที่กำหนดไว้เดิม อันมีลักษณะของการผัดผ่อนที่โจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้ยอมผ่อนเวลาให้แก่จำเลยที่  ๑ ผู้เป็นลูกหนี้  แต่เมื่อสัญญาค้ำประกันระหว่างโจทก์กับจำเลยที่  ๒ ตามเอกสารหมาย  จ.๑๐  ข้อ  ๓ มีข้อตกลงระหว่างกันว่า “หากธนาคารได้ผ่อนเวลาชำระหนี้ หรือผ่อนผันการชำระหนี้ หรือตกลงแก้ไขเพิ่มเติมสัญญาเช่าซื้อในประการใดๆ ก็ตาม  ให้ถือว่าผู้ค้ำประกันยินยอมด้วยทุกครั้ง”  แสดงว่าจำเลยที่  ๒ ทำสัญญาค้ำประกันโดยมีข้อตกลงยกเว้นบทบัญญัติตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  มาตรา ๗๐๐  วรรคหนึ่ง  (เดิม) ที่บัญญัติเกี่ยวด้วยการหลุดพ้นจากความรับผิดของผู้ค้ำประกัน  หากเจ้าหนี้ยอมผ่อนเวลาให้แก่ลูกหนี้  ในหนี้อันจะต้องชำระ  ณ เวลามีกำหนดแน่นอน  ดังนั้น  แม้โจทก์จะผ่อนเวลาให้แก่จำเลยที่  ๑ จำเลยที่  ๒  ก็หาได้หลุดพ้นความรับผิดไม่  ส่วนความในวรรคสองของมาตรา  ๗๐๐  ที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  (ฉบับที่ ๒๐)  พ.ศ.  ๒๕๕๗ ซึ่งบัญญัติว่า “ข้อตกลงที่ผู้ค้ำประกันทำไว้ล่วงหน้าก่อนเจ้าหนี้ผ่อนเวลาอันมีผลเป็นการยินยอมให้เจ้าหนี้ผ่อนเวลา ข้อตกลงนั้นใช้บังคับมิได้” อันเป็นบทกฎหมายที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๖  หยิบยกขึ้นปรับใช้แก่คดี  แล้ววินิจฉัยว่า  ข้อตกลงตามสัญญาค้ำประกันเอกสารหมาย  จ.๑๐ ข้อ ๓ ที่ทำไว้ล่วงหน้าก่อนเจ้าหนี้ผ่อนเวลา มีผลเป็นการยินยอมให้เจ้าหนี้ผ่อนเวลาใช้บังคับมิได้นั้น  เมื่อพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  (ฉบับที่ ๒๐)  พ.ศ.  ๒๕๕๗ มาตรา  ๑๘  บัญญัติว่า “บทบัญญัติของพระราชบัญญัตินี้ไม่กระทบกระเทือนถึงสัญญาที่ได้ทำไว้ก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ เว้นแต่กรณีที่พระราชบัญญัตินี้บัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น”  และตามมาตรา ๗๐๐  ที่แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติดังกล่าว มิได้มีกรณีที่บัญญัติไว้เป็นอย่างอื่นเพื่อให้บทบัญญัติตามมาตรา  ๗๐๐ ที่แก้ไขเพิ่มเติม มีผลบังคับแก่สัญญาค้ำประกันที่ทำขึ้นก่อนวันที่พระราชบัญญัติฉบับนี้ใช้บังคับด้วย  ดังนั้น การที่ศาลอุทธรณ์ภาค  ๖  ยกมาตรา ๗๐๐  ที่แก้ไขเพิ่มเติม  ขึ้นปรับใช้แก่สัญญาค้ำประกันคดีนี้ที่ทำขึ้นเมื่อวันที่  ๓๑ ตุลาคม  ๒๕๕๖ ก่อนวันที่พระราชบัญญัติดังกล่าวมีผลบังคับจึงไม่ถูกต้อง การทำสัญญาปรับโครงสร้างหนี้สัญญาเช่าซื้อระหว่างโจทก์กับจำเลยที่  ๑ ตามเอกสารหมาย  จ.๑๑  จึงมิได้ทำให้จำเลยที่  ๒ ผู้ค้ำประกันหลุดพ้นความรับผิด จำเลยที่  ๒  ผู้ค้ำประกันยังต้องผูกพันร่วมกับจำเลยที่  ๑ รับผิดต่อโจทก์ 

                เมื่อจำเลยที่  ๒ ผู้ค้ำประกันยังต้องผูกพันร่วมกับจำเลยที่ ๑  รับผิดต่อโจทก์  ปัญหาว่า จำเลยที่  ๒  ต้องร่วมกับจำเลยที่  ๑ รับผิดต่อโจทก์เพียงใด ซึ่งศาลอุทธรณ์ภาค  ๖  แผนกคดีผู้บริโภคยังมิได้วินิจฉัย แต่โจทก์ได้นำพยานหลักฐานเข้าสืบไปฝ่ายเดียวจนเสร็จสิ้นกระแสความแล้ว ศาลฎีกาจึงเห็นควรวินิจฉัยปัญหาดังกล่าวไปเสียเลย  โดยไม่ย้อนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค  ๖ แผนกคดีผู้บริโภควินิจฉัยก่อน เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า จำเลยที่  ๑ ผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อตามสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้สัญญาเช่าซื้อเอกสารหมาย  จ.๑๑ ตั้งแต่งวดที่  ๔  ประจำวันที่ ๑๐  มีนาคม  ๒๕๕๙ เป็นระยะเวลาสามงวดติดต่อกัน ภายหลังจากนั้นโจทก์เพิ่งมีหนังสือบอกกล่าวทวงถามและบอกเลิกสัญญาไปยังจำเลยที่  ๒ โดยชอบ  ตามเอกสารหมาย  จ.๑๓ และ  จ.๑๕  โดยจำเลยที่ ๒ ได้รับหนังสือบอกกล่าวเมื่อวันที่ ๒๗  มิถุนายน  ๒๕๕๙ ซึ่งล่วงพ้นกำหนดหกสิบวันนับแต่วันที่จำเลยที่  ๑ ลูกหนี้ชั้นต้นผิดนัด ผลของการบอกกล่าวเมื่อล่วงพ้นกำหนดเวลาเช่นนั้น ย่อมทำให้จำเลยที่  ๒ หลุดพ้นจากความรับผิดในดอกเบี้ยและค่าสินไหมทดแทน ตลอดจนค่าภาระติดพันอันเป็นอุปกรณ์แห่งหนี้บรรดาที่เกิดขึ้นภายหลังจากพ้นกำหนดเวลาหกสิบวันนับแต่วันที่จำเลยที่  ๑ ผิดนัดดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  มาตรา ๖๘๖ วรรคสอง  ที่แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  (ฉบับที่ ๒๐)  พ.ศ.  ๒๕๕๗ อันเป็นบทกฎหมายที่ใช้บังคับแก่คดีนี้ตามที่มาตรา  ๑๙ แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวบัญญัติไว้ จำเลยที่  ๒  จึงหลุดพ้นเสียจากความรับผิดที่ต้องร่วมรับผิดชำระค่าขาดประโยชน์แก่โจทก์ในอัตราเดือนละ  ๑,๖๐๐ บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะคืนรถยนต์ที่เช่าซื้อหรือใช้ราคา  จำเลยที่ ๒ คงต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ ๑ เฉพาะหนี้การส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนหรือใช้ราคาแทน  เป็นเงิน ๕๕๐,๔๕๐  บาท กับร่วมรับผิดในหนี้ค่าขาดประโยชน์อัตราเดือนละ  ๑,๖๐๐ บาท  เป็นเวลา ๖๐  วัน นับแต่วันที่จำเลยที่  ๑ ผิดนัด  เป็นเงิน  ๓,๒๐๐ บาท  เท่านั้น

เผยแพร่โดย

แผนกคดีผู้บริโภค

วันที่เผยแพร่
10/07/2563
เข้าดู
3
Share