แม้ภายหลังจากจำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์จากโจทก์ ตามเอกสารหมาย จ.๗ โจทก์กับจำเลยที่ ๑ ได้ทำสัญญาปรับโครงสร้างหนี้สัญญาเช่าซื้อ ตามเอกสารหมาย จ.๑๑ โดยมีความตกลงเกี่ยวกับการชำระค่าเช่าซื้อกันใหม่ จากเดิมที่กำหนดชำระค่าเช่าซื้อกันไว้ ๗๒ งวด เริ่มชำระงวดแรกวันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๕๖ เป็นกำหนดชำระค่าเช่าซื้อรวม ๘๔ งวด เริ่มชำระงวดแรกวันที่ ๑๐ ธันวาคม ๒๕๕๘ ซึ่งความตกลงดังกล่าวเป็นผลให้ระยะเวลาที่จำเลยที่ ๑ ต้องผ่อนชำระค่าเช่าซื้อทอดยาวออกไปกว่าที่กำหนดไว้เดิม อันมีลักษณะของการผัดผ่อนที่โจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้ยอมผ่อนเวลาให้แก่จำเลยที่ ๑ ผู้เป็นลูกหนี้ แต่เมื่อสัญญาค้ำประกันระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๒ ตามเอกสารหมาย จ.๑๐ ข้อ ๓ มีข้อตกลงระหว่างกันว่า “หากธนาคารได้ผ่อนเวลาชำระหนี้ หรือผ่อนผันการชำระหนี้ หรือตกลงแก้ไขเพิ่มเติมสัญญาเช่าซื้อในประการใดๆ ก็ตาม ให้ถือว่าผู้ค้ำประกันยินยอมด้วยทุกครั้ง” แสดงว่าจำเลยที่ ๒ ทำสัญญาค้ำประกันโดยมีข้อตกลงยกเว้นบทบัญญัติตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๗๐๐ วรรคหนึ่ง (เดิม) ที่บัญญัติเกี่ยวด้วยการหลุดพ้นจากความรับผิดของผู้ค้ำประกัน หากเจ้าหนี้ยอมผ่อนเวลาให้แก่ลูกหนี้ ในหนี้อันจะต้องชำระ ณ เวลามีกำหนดแน่นอน ดังนั้น แม้โจทก์จะผ่อนเวลาให้แก่จำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๒ ก็หาได้หลุดพ้นความรับผิดไม่ ส่วนความในวรรคสองของมาตรา ๗๐๐ ที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒๐) พ.ศ. ๒๕๕๗ ซึ่งบัญญัติว่า “ข้อตกลงที่ผู้ค้ำประกันทำไว้ล่วงหน้าก่อนเจ้าหนี้ผ่อนเวลาอันมีผลเป็นการยินยอมให้เจ้าหนี้ผ่อนเวลา ข้อตกลงนั้นใช้บังคับมิได้” อันเป็นบทกฎหมายที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๖ หยิบยกขึ้นปรับใช้แก่คดี แล้ววินิจฉัยว่า ข้อตกลงตามสัญญาค้ำประกันเอกสารหมาย จ.๑๐ ข้อ ๓ ที่ทำไว้ล่วงหน้าก่อนเจ้าหนี้ผ่อนเวลา มีผลเป็นการยินยอมให้เจ้าหนี้ผ่อนเวลาใช้บังคับมิได้นั้น เมื่อพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒๐) พ.ศ. ๒๕๕๗ มาตรา ๑๘ บัญญัติว่า “บทบัญญัติของพระราชบัญญัตินี้ไม่กระทบกระเทือนถึงสัญญาที่ได้ทำไว้ก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ เว้นแต่กรณีที่พระราชบัญญัตินี้บัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น” และตามมาตรา ๗๐๐ ที่แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติดังกล่าว มิได้มีกรณีที่บัญญัติไว้เป็นอย่างอื่นเพื่อให้บทบัญญัติตามมาตรา ๗๐๐ ที่แก้ไขเพิ่มเติม มีผลบังคับแก่สัญญาค้ำประกันที่ทำขึ้นก่อนวันที่พระราชบัญญัติฉบับนี้ใช้บังคับด้วย ดังนั้น การที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๖ ยกมาตรา ๗๐๐ ที่แก้ไขเพิ่มเติม ขึ้นปรับใช้แก่สัญญาค้ำประกันคดีนี้ที่ทำขึ้นเมื่อวันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๕๖ ก่อนวันที่พระราชบัญญัติดังกล่าวมีผลบังคับจึงไม่ถูกต้อง การทำสัญญาปรับโครงสร้างหนี้สัญญาเช่าซื้อระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ ตามเอกสารหมาย จ.๑๑ จึงมิได้ทำให้จำเลยที่ ๒ ผู้ค้ำประกันหลุดพ้นความรับผิด จำเลยที่ ๒ ผู้ค้ำประกันยังต้องผูกพันร่วมกับจำเลยที่ ๑ รับผิดต่อโจทก์
เมื่อจำเลยที่ ๒ ผู้ค้ำประกันยังต้องผูกพันร่วมกับจำเลยที่ ๑ รับผิดต่อโจทก์ ปัญหาว่า จำเลยที่ ๒ ต้องร่วมกับจำเลยที่ ๑ รับผิดต่อโจทก์เพียงใด ซึ่งศาลอุทธรณ์ภาค ๖ แผนกคดีผู้บริโภคยังมิได้วินิจฉัย แต่โจทก์ได้นำพยานหลักฐานเข้าสืบไปฝ่ายเดียวจนเสร็จสิ้นกระแสความแล้ว ศาลฎีกาจึงเห็นควรวินิจฉัยปัญหาดังกล่าวไปเสียเลย โดยไม่ย้อนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค ๖ แผนกคดีผู้บริโภควินิจฉัยก่อน เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า จำเลยที่ ๑ ผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อตามสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้สัญญาเช่าซื้อเอกสารหมาย จ.๑๑ ตั้งแต่งวดที่ ๔ ประจำวันที่ ๑๐ มีนาคม ๒๕๕๙ เป็นระยะเวลาสามงวดติดต่อกัน ภายหลังจากนั้นโจทก์เพิ่งมีหนังสือบอกกล่าวทวงถามและบอกเลิกสัญญาไปยังจำเลยที่ ๒ โดยชอบ ตามเอกสารหมาย จ.๑๓ และ จ.๑๕ โดยจำเลยที่ ๒ ได้รับหนังสือบอกกล่าวเมื่อวันที่ ๒๗ มิถุนายน ๒๕๕๙ ซึ่งล่วงพ้นกำหนดหกสิบวันนับแต่วันที่จำเลยที่ ๑ ลูกหนี้ชั้นต้นผิดนัด ผลของการบอกกล่าวเมื่อล่วงพ้นกำหนดเวลาเช่นนั้น ย่อมทำให้จำเลยที่ ๒ หลุดพ้นจากความรับผิดในดอกเบี้ยและค่าสินไหมทดแทน ตลอดจนค่าภาระติดพันอันเป็นอุปกรณ์แห่งหนี้บรรดาที่เกิดขึ้นภายหลังจากพ้นกำหนดเวลาหกสิบวันนับแต่วันที่จำเลยที่ ๑ ผิดนัดดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๖๘๖ วรรคสอง ที่แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒๐) พ.ศ. ๒๕๕๗ อันเป็นบทกฎหมายที่ใช้บังคับแก่คดีนี้ตามที่มาตรา ๑๙ แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวบัญญัติไว้ จำเลยที่ ๒ จึงหลุดพ้นเสียจากความรับผิดที่ต้องร่วมรับผิดชำระค่าขาดประโยชน์แก่โจทก์ในอัตราเดือนละ ๑,๖๐๐ บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะคืนรถยนต์ที่เช่าซื้อหรือใช้ราคา จำเลยที่ ๒ คงต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ ๑ เฉพาะหนี้การส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนหรือใช้ราคาแทน เป็นเงิน ๕๕๐,๔๕๐ บาท กับร่วมรับผิดในหนี้ค่าขาดประโยชน์อัตราเดือนละ ๑,๖๐๐ บาท เป็นเวลา ๖๐ วัน นับแต่วันที่จำเลยที่ ๑ ผิดนัด เป็นเงิน ๓,๒๐๐ บาท เท่านั้น