สัญญาจะซื้อจะขายรถยนต์ เอกสารหมาย จ.๒ ระบุเงื่อนไขเวลาในการรับรถยนต์ว่า “กำหนดรับรถโดยประมาณภายใน ก.ค. ๒๐๑๕” ซึ่งไม่แน่ชัดว่าเป็นวันใด เมื่อไม่อาจกำหนดวันที่แน่นอนได้สัญญาจะซื้อจะขายรถยนต์ จึงเป็นสัญญาที่มิได้กำหนดเวลาชำระหนี้ไว้ตามวันแห่งปฏิทิน โจทก์จำต้องบอกกล่าวกำหนดเวลาพอสมควรให้จำเลยชำระหนี้ เมื่อข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้บอกกล่าวให้จำเลยชำระหนี้ส่งมอบรถยนต์ที่สั่งซื้อให้แก่โจทก์ การที่จำเลยยังไม่ส่งมอบรถยนต์ให้แก่โจทก์จึงไม่อาจถือว่าจำเลยผิดนัดชำระหนี้อันจะทำให้โจทก์มีสิทธิเลิกสัญญา ดังนั้น สัญญาจะซื้อจะขายรถยนต์ ระหว่างโจทก์กับจำเลยยังคงมีผลใช้บังคับต่อไป
จำเลยแจ้งให้โจทก์รับรถยนต์ที่สั่งซื้อแล้ว แต่โจทก์ปฏิเสธจึงเป็นฝ่ายผิดสัญญาจะซื้อจะขายรถยนต์ จำเลยย่อมมีสิทธิริบเงินมัดจำ ๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท อย่างไรก็ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม พ.ศ.๒๕๔๐ มาตรา ๗ บัญญัติว่า ในสัญญาที่มีการให้สิ่งใดไว้เป็นมัดจำ หากมีกรณีที่จะต้องริบมัดจำ ถ้ามัดจำนั้นสูงเกินส่วน ศาลจะลดให้ริบได้เพียงเท่าความเสียหายที่แท้จริงก็ได้ ซึ่งเมื่อพิจารณาถึงจำนวน
มัดจำเปรียบเทียบกับราคารถยนต์และความเสียหายที่จำเลยได้รับแล้ว เห็นควรลดมัดจำที่จะให้ริบลงเหลือ ๑๐๐,๐๐๐ บาท และจำเลยต้องคืนมัดจำอีก ๙๐๐,๐๐๐ บาท แก่โจทก์ ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ สำหรับเงินมัดจำที่จำเลยต้องคืนแก่โจทก์นั้น มิใช่กรณีที่จำเลยผิดนัดอันจะต้องชำระดอกเบี้ยตาม ป.พ.พ.มาตรา ๒๒๔ วรรคหนึ่ง ทั้งเป็นเหตุสืบเนื่องจากโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญา จำเลยจึงไม่ต้องชำระดอกเบี้ยในเงิน ๙๐๐,๐๐๐ บาท ที่ต้องคืนแก่โจทก์/