ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๓๘๖ วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “ถ้าคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งมีสิทธิเลิกสัญญาโดยข้อสัญญาหรือโดยบทบัญญัติแห่งกฎหมาย การเลิกสัญญาเช่นนั้นย่อมทำด้วยแสดงเจตนาแก่อีกฝ่ายหนึ่ง” และมาตรา ๑๖๙ วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “การแสดงเจตนาที่กระทำต่อบุคคลซึ่งมิได้อยู่เฉพาะหน้าให้ถือว่ามีผลนับแต่เวลาที่การแสดงเจตนานั้นไปถึงผู้รับการแสดงเจตนา...” เมื่อตามสัญญาค้ำประกัน จ.๘ ถึง จ.๑๐ ข้อ ๘ ระบุว่า ผู้ค้ำประกันตกลงว่าในกรณีที่ธนาคารมีหนังสือแจ้งหรือบอกกล่าวเรื่องใด ๆ ที่เกี่ยวกับการค้ำประกันตามหนังสือสัญญานี้ หรือตามกฎหมาย หากส่งไปยังผู้ค้ำประกัน ณ ที่อยู่ดังกล่าวข้างต้นของหนังสือสัญญานี้ หรือส่ง ณ สถานที่ซึ่งผู้ค้ำประกันแจ้งให้ธนาคารทราบเป็นหนังสือในภายหลัง ให้ถือว่าธนาคารได้แจ้งหรือบอกกล่าวเป็นหนังสือให้ผู้ค้ำประกันทราบโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ ๒ เคยแจ้งย้ายให้โจทก์ทราบ ดังนั้น ที่พนักงานไปรษณีย์นำหนังสือทวงถามของโจทก์เอกสารหมาย จ.๑๖ และ จ.๑๙ ไปส่งให้จำเลยที่ ๒ ที่บ้านเลขที่ ๙/๕ หมู่ที่ ๓ ตำบลบางจาก อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ ตามที่อยู่ที่ระบุไว้ในสัญญา อันเป็นการส่งอย่างเป็นทางการ แม้จะไม่พบจำเลยที่ ๒ และไม่มีผู้ใดรับไว้โดยระบุว่าย้ายไม่ทราบที่อยู่ใหม่ แสดงว่า จำเลยที่ ๒ มีเจตนาหลีกเลี่ยงไม่รับหนังสือบอกกล่าวของโจทก์ และถือได้ว่าหนังสือบอกกล่าวการผิดนัดของโจทก์ได้ไปถึงจำเลยที่ ๒ นอกจากนี้ยังปรากฏว่าก่อนฟ้องโจทก์ได้มีหนังสือทวงถามให้จำเลยที่ ๒ ชำระหนี้ตามที่อยู่เดียวกันกับคำฟ้อง ซึ่งมีผู้รับแทนจำเลยที่ ๒ ไว้ด้วยตามเอกสารหมาย จ.๒๔ มีผลเป็นการบอกกล่าวโดยชอบตามบทกฎหมายดังกล่าวข้างต้นประกอบมาตรา ๖๘๖ วรรคหนึ่ง ที่แก้ไขใหม่ ตาม พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒๐) พ.ศ. ๒๕๕๗ แล้ว โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง
สำหรับความรับผิดของจำเลยที่ ๒ นั้น เมื่อศาลรับฟังข้อเท็จจริงแล้วว่าการส่งคำบอกกล่าวให้แก่จำเลยที่ ๒ ตามเอกสารหมาย จ.๑๖ ถึง จ.๑๙ และ จ.๒๔ เป็นไปโดยชอบ และตามสัญญาขายตั๋วสัญญาใช้เงินสกุลเงินตราต่างประเทศเพื่อการนำเข้าและตั๋วสัญญาใช้เงินเอกสารหมาย จ.๔ ถึง จ.๗ ครบกำหนดชำระหนี้ในวันที่ ๒๑ กรกฎาคม ๒๕๕๘ และวันที่ ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๕๘ ตามลำดับ เมื่อจำเลยที่ ๑ ไม่ชำระหนี้ กรณีจึงเป็นการที่ลูกหนี้ชั้นต้นผิดนัดภายหลังวันที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ ความรับผิดของจำเลยที่ ๒ ผู้ค้ำประกันจึงต้องอยู่ภายใต้บังคับ มาตรา ๖๘๖ ที่แก้ไขใหม่ ตามพ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒๐) พ.ศ. ๒๕๕๗ ซึ่งในการส่งคำบอกกล่าวของโจทก์ให้แก่จำเลยที่ ๒ นั้น ได้ความตามหนังสือบอกกล่าวเอกสารหมาย จ.๑๖ และ จ.๑๘ ลงวันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๕๘ สำเนาซองจดหมายลงทะเบียนตอบรับระบุว่า “ย้ายไม่ทราบที่อยู่ใหม่” โดยไม่ปรากฏหลักฐานวันที่โจทก์นำส่งหรือวันที่จดหมายไปถึงที่อยู่ของจำเลยที่ ๒ ชัดเจนเมื่อเป็นที่สงสัยจึงต้องรับฟังข้อเท็จจริงในส่วนนี้ให้เป็นคุณแก่ลูกหนี้ กรณีจึงไม่อาจรับฟังได้ว่าหนังสือบอกกล่าวเอกสารหมาย จ.๑๖ และ จ.๑๘ ได้ไปถึงจำเลยที่ ๒ ภายในกำหนดเวลา ๖๐ วัน นับแต่ลูกหนี้ชั้นต้นผิดนัด แต่เมื่อตรวจสอบหนังสือบอกกล่าวเอกสารหมาย จ.๑๗ และ จ.๑๙ ลงวันที่ ๒๙ กันยายน ๒๕๕๘ ซึ่งมีการส่งทางไปรษณีย์ด่วนพิเศษ ปรากฏในตราประทับประจำวันที่ทำการรับฝากระบุว่า วันที่ ๒ ตุลาคม ๒๕๕๘ ในหน้าซองจดหมายระบุว่า “ย้ายไม่ทราบที่อยู่ใหม่” และในข้อความนำจ่ายผู้รับระบุว่า ๓/๑๐ ตามพฤติการณ์ดังกล่าวจึงพออนุมานได้ว่าหนังสือบอกกล่าวของโจทก์ดังกล่าวได้ไปถึงจำเลยที่ ๒ ภายหลังวันที่ ๒ ตุลาคม ๒๕๕๘ อันเป็นเวลาที่พ้นกำหนด ๖๐ วัน นับแต่จำเลยที่ ๑ ลูกหนี้ชั้นต้นผิดนัดตามมาตรา ๖๘๖ วรรคหนึ่ง จำเลยที่ ๒ ผู้ค้ำประกันจึงหลุดพ้นจากความผิดในดอกเบี้ยและค่าสินไหมทดแทน ตลอดจนค่าภาระติดพันอันเป็นอุปกรณ์แห่งหนี้บรรดาที่เกิดขึ้นภายหลังจากพ้นกำหนดเวลาดังกล่าวตามวรรคสอง ที่ศาลชั้นต้นให้จำเลยที่ ๒ รับผิดในดอกเบี้ยของต้นเงินจำกัดเฉพาะช่วงเวลา ๖๐ วัน นับแต่จำเลยที่ ๑ ลูกหนี้ชั้นต้นผิดนัดจึงชอบแล้ว
อนึ่ง เมื่อความรับผิดของจำเลยที่ ๒ ไม่ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ ๑ อย่างลูกหนี้ร่วม ศาลชั้นต้นต้องพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ชำระหนี้ก่อน ถ้าจำเลยที่ ๑ ไม่ชำระจึงให้จำเลยที่ ๒ ชำระแทน เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภคมีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขให้ถูกต้องได้แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์ ตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา ๑๔๒ (๕) ประกอบ พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. ๒๕๕๑ มาตรา ๗ (ฎีกาที่ ๓๒๖๓/๒๕๖๒)