จากคำเบิกความของพยานโจทก์และพยานหลักฐานได้ความว่าจำเลยที่ ๑ ผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อตั้งแต่วันที่ ๒๑ มีนาคม ๒๕๕๘ เป็นต้นมา แม้ตามสำเนาหนังสือเอกสารหมาย จ.๙ จะลงวันที่ ๒ เมษายน ๒๕๕๘ ซึ่งเป็นเวลาภายหลังจากจำเลยที่ ๑ ผิดนัดไม่ถึง ๖๐ วัน ก็ตาม แต่เมื่อพิจารณาเอกสารดังกล่าวทั้งสี่แผ่นแล้ว ไม่ปรากฏว่ามีหลักฐานว่าจำเลยที่ ๒ ได้รับหนังสือฉบับนี้แต่อย่างใด กรณียังฟังไม่ได้ว่า โจทก์ได้บอกกล่าวให้แก่จำเลยที่ ๒ ทราบถึงการผิดนัดของจำเลยที่ ๑ แล้ว แต่อย่างไรก็ตามได้ความต่อไปว่าโจทก์มีหนังสือไปถึงจำเลยที่ ๒ อีกสามฉบับ กล่าวคือ เมื่อวันที่ ๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ โจทก์แจ้งให้ชำระหนี้ปิดบัญชีและประมูลขายทอดตลาดรถยนต์ เมื่อวันที่ ๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ โจทก์แจ้งผลการประมูลและสรุปภาระหนี้ และเมื่อวันที่ ๑๕ มีนาคม ๒๕๕๙ โจทก์แจ้งให้ชำระหนี้ส่วนที่ขาดทุนตามเอกสารหมาย จ.๑๑ จ.๑๓ และ จ.๑๔ ซึ่งจำเลยที่ ๒ ได้รับหนังสือดังกล่าวแล้ว โดยหนังสือทั้งสามฉบับนี้มีเนื้อความโดยสรุปว่าจำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นลูกหนี้ชั้นต้นมียอดหนี้จำนวนเงินที่ค้างชำระจนโจทก์ได้บอกเลิกสัญญาและติดตามรถยนต์กลับคืนและได้นำออกขายทอดตลาดแจ้งยอดให้จำเลยที่ ๒ ชำระหนี้ส่วนที่โจทก์ขาดทุนอยู่ เช่นนี้ ถือได้ว่าก่อนฟ้อง โจทก์มีหนังสือบอกกล่าวทวงถามไปยังจำเลยที่ ๒ ผู้ค้ำประกันแล้ว กรณีจึงไม่ต้องด้วย ป.พ.พ. มาตรา ๖๘๖ วรรคหนึ่ง (ที่แก้ไขใหม่) ซึ่งกำหนดว่า เจ้าหนี้จะเรียกให้ผู้ค้ำประกันชำระหนี้ก่อนที่หนังสือบอกกล่าวจะไปถึงผู้ค้ำประกันมิได้ ดังนี้ โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องให้จำเลยที่ ๒ ผู้ค้ำประกันรับผิดตามสัญญาเช่าซื้อได้
หนังสือฉบับลงวันที่ ๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ ซึ่งเป็นฉบับแรกในสามฉบับดังกล่าว ปรากฏว่ามีผู้ลงลายมือชื่อไว้แทนจำเลยที่ ๒ เมื่อวันที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ ตามใบไปรษณีย์ตอบรับเอกสารหมาย จ.๑๑ ซึ่งหากนับตั้งแต่วันที่ ๒๑ มีนาคม ๒๕๕๘ อันเป็นวันที่จำเลยที่ ๑ ผิดนัดถึงวันดังกล่าวย่อมมีระยะเกินกว่า ๖๐ วันแล้ว กรณีจึงเป็นไปตาม ป.พ.พ. มาตรา ๖๘๖ วรรคสอง ที่แก้ไขใหม่ ซึ่งมีผลใช้บังคับในวันที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ ก่อนที่จำเลยที่ ๑ จะผิดนัด โดยบทบัญญัติดังกล่าวกำหนดว่า ในกรณีที่เจ้าหนี้มิได้มีหนังสือบอกกล่าวไปยังผู้ค้ำประกันภายใน ๖๐ วัน นับแต่วันที่ลูกหนี้ผิดนัด ให้ผู้ค้ำประกันหลุดพ้นจากความรับผิดในดอกเบี้ยและค่าสินไหมทดแทน ตลอดจนค่าภาระติดพันอันเป็นอุปกรณ์แห่งหนี้รายนั้นบรรดาที่เกิดขึ้นภายหลังจากพ้นกำหนด ๖๐ วัน ดังนี้ จำเลยที่ ๒ จึงไม่ต้องร่วมกับจำเลยที่ ๑ รับผิดชำระดอกเบี้ยนับถัดจากวันฟ้องแก่โจทก์ สำหรับค่าขาดประโยชน์ถือเป็นค่าสินไหมทดแทนอย่างหนึ่ง จำเลยที่ ๒ จึงต้องร่วมรับผิดในค่าขาดประโยชน์เพียง ๖๐ วัน นับแต่วันที่จำเลยที่ ๑ ผิดนัด (คำพิพากษาฎีกาที่ ๔๙๙๘/๒๕๖๒)